สวัสดียามเช้าค่ะ (^^*)
หลังจากหยุดพักยาวไปถึงสามวัน ทำให้ Sailorty รู้สึกคันไม้คันมืออย่างแรง เลยทำการอัฟ Blog มันตั้งแต่เช้าตรู่ซะเลย ฮ่าๆๆ ก็คนมันรักการแบ่งปันหนิค่ะ ^^* แถมยังติดค้างไว้จากบทความที่แล้วด้วย ((ถ้ายังจำกันได้))
วานนี้คงมีเพื่อนหลายๆท่านที่ได้กลับไปกอดคุณพ่อ พร้อมกับหอมคุณแม่ที่บ้าน (^0^*)
Sailorty อยากขอสารภาพว่าอิจฉามากค่ะ (T^T*) เพื่อนๆบางคนคงทราบแล้วว่า Sailorty กำลังป่วย
นั้นเป็นเหตุผลให้ Sailorty ไม่สามารถกลับบ้านไปกอดคุณพ่อพร้อมกับหอมคุณแม่ที่บ้านเหมือนใครๆได้
พูดแล้วมันก็น่าน้อยใจตัวเอง ไม่รู้จะมาป่วยอะไรในตอนนี้ “คิดถึงคุณพ่อคุณแม่มากรู้รึป่าวเนี่ย” แต่ไม่เป็นไรค่ะ
อย่างน้อยการหยุดยาวแบบนี้ กลับทำให้ Sailorty สามารถเขียน Blog ในตอน “สูตรลับเศรษฐี” จนจบ
มีพี่ๆหลายๆคนที่รู้จักกับ Sailorty ได้ถามมาว่า.. “Blog ที่ Sailorty เขียน มันจะมีคนอ่านด้วยหรอ?? เขียนไปก็เสียเวลาเปล่า เอาเวลาไปทำอย่างอื่นไม่ดีกว่ารึไง” เพื่อนๆคิดยังไงกลับคำถามนี้ค่ะ??
แต่สำหรับ Sailorty แล้ว ยังยืนยันคำตอบเดิมที่เคยเขียนไว้ตั้งแต่บทความฉบับที่สอง คำตอบนั้นคือ..
“ต่อให้มีคนอ่าน Blog ของ Sailorty เพียงท่านเดียว แค่นี้ก็ถือเป็นกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ในการเขียนของ Sailorty แล้วค่ะ” อาจจะมีเรื่องไร้สาระป่นเยอะไปบ้างก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี่ด้วย แต่ Sailorty เองก็ได้พยายามแยกส่วนเนื้อหาสาระและไร้สาระไว้อย่างชัดเจน โดยเพื่อนๆสามารถเลื่อนลงไปอ่านด้านล่างที่เป็นเนื้อหาสาระได้ทันที โดยมิต้องสนใจเนื้อหาไร้สาระในส่วนนี้ ^^*
สุดท้าย!! ขอขอบคุณเพื่อนๆทุกท่านที่สละเวลาอันมีค่ามาอ่าน Blog ของ Sailorty Stock ขอบคุณค่ะ (^/|\^)*
*………………………………………………………………………………………………………………*
*…………………………………………………………………………………………………………*
สวัสดียามเช้าค่ะ (^^*)
หลังจากหยุดพักยาวไปถึงสามวัน ทำให้ Sailorty รู้สึกคันไม้คันมืออย่างแรง เลยทำการอัฟ Blog มันตั้งแต่เช้าตรู่ซะเลย ฮ่าๆๆ ก็คนมันรักการแบ่งปันหนิค่ะ ^^* แถมยังติดค้างไว้จากบทความที่แล้วด้วย ((ถ้ายังจำกันได้))
วานนี้คงมีเพื่อนหลายๆท่านที่ได้กลับไปกอดคุณพ่อ พร้อมกับหอมคุณแม่ที่บ้าน (^0^*)
Sailorty อยากขอสารภาพว่าอิจฉามากค่ะ (T^T*) เพื่อนๆบางคนคงทราบแล้วว่า Sailorty กำลังป่วย
นั้นเป็นเหตุผลให้ Sailorty ไม่สามารถกลับบ้านไปกอดคุณพ่อพร้อมกับหอมคุณแม่ที่บ้านเหมือนใครๆได้
พูดแล้วมันก็น่าน้อยใจตัวเอง ไม่รู้จะมาป่วยอะไรในตอนนี้ “คิดถึงคุณพ่อคุณแม่มากรู้รึป่าวเนี่ย” แต่ไม่เป็นไรค่ะ อย่างน้อยการหยุดยาวแบบนี้ กลับทำให้ Sailorty สามารถเขียน Blog ในตอน “สูตรลับเศรษฐี” จนจบ
มีพี่ๆหลายๆคนที่รู้จักกับ Sailorty ได้ถามมาว่า.. “Blog ที่ Sailorty เขียน มันจะมีคนอ่านด้วยหรอ?? เขียนไปก็เสียเวลาเปล่า เอาเวลาไปทำอย่างอื่นไม่ดีกว่ารึไง” เพื่อนๆคิดยังไงกลับคำถามนี้ค่ะ??
แต่สำหรับ Sailorty แล้ว ยังยืนยันคำตอบเดิมที่เคยเขียนไว้ตั้งแต่บทความฉบับที่สอง คำตอบนั้นคือ..
“ต่อให้มีคนอ่าน Blog ของ Sailorty เพียงท่านเดียว แค่นี้ก็ถือเป็นกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ในการเขียนของ Sailorty แล้วค่ะ” อาจจะมีเรื่องไร้สาระป่นเยอะไปบ้างก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี่ด้วย แต่ Sailorty เองก็ได้พยายามแยกส่วนเนื้อหาสาระและไร้สาระไว้อย่างชัดเจน โดยเพื่อนๆสามารถเลื่อนลงไปอ่านด้านล่างที่เป็นเนื้อหาสาระได้ทันที โดยมิต้องสนใจเนื้อหาไร้สาระในส่วนนี้ ^^*
สุดท้าย!! ขอขอบคุณเพื่อนๆทุกท่านที่สละเวลาอันมีค่ามาอ่าน Blog ของ Sailorty Stock ขอบคุณค่ะ (^/|\^)*
*………………………………………………………………………………………………………………*
*…………………………………………………………………………………………………………*
เคล็ดลับที่โรงเรียนไม่สอน..ตอน “สูตรลับเศรษฐี Millionaire Code” ภาคจบ!!
บทที่ 1 ทำอย่างไรจึงจะเก่งรอบตัว
Sailorty อยากให้ทุกท่านได้ทำความเข้าใจเสียก่อนว่า เก่งรอบตัวนั้นคืออะไร??
คนเราจะเก่งรอบตัวนั้น สามารถแยกแยะได้เป็น 3 ประการ ดังนี้
1. เก่งตน
2. เก่งคน
3. เก่งงาน
“เก่งตน” หมายถึง การมีความสามารถส่วนตัวที่โดดเด่นกว่าคนปรกติ ต้องเป็นคนที่ คิดเก่ง พูดเก่ง เขียนเก่ง ฟังเก่ง และจดจำดี
ปัญหาก็คือจะทำอย่างไรให้เป็นคนคิดเก่ง พูดเก่ง เขียนเก่ง ฟังเก่ง และจดจำดี คำตอบก็คือ การจะเก่งได้ดังกล่าวนั้น จะต้องประกอบด้วยปัจจัย 2 ประการ คือ มีพรสวรรค์และมีพรแสวง โดยพรสวรรค์เป็นเรื่องที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด ส่วนพรแสวงนั้นฝึกฝนได้ ดังนั้น Sailorty อยากให้ทุกท่านลองค้นหาพรสวรรค์ในตัวให้พบ แล้วนำมาใช้ประโยชน์ให้เต็มที่ และที่สำคัญที่สุดคือมั่นสร้างสมพรแสวง ฝึกฝนเรื่องที่ต้องการให้เก่งอย่างมีแบบแผน และหาครูฝึกให้เหมาะ สม
คุณสมบัติประจำตัวที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของคนที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิต ก็คือเป็นคนที่มีความจำดีเป็นเลิศ ซึ่งความจำนั้นมีการฝึกฝนได้ด้วยเทคนิคแบบต่างๆ บางเทคนิคก็สลับซับซ้อนดูเป็น “วิทยาศาสตร์” แต่มีวิธีที่ใช้อย่างได้ผล เป็นวิธีง่ายๆ จากฤๅษีสมัยใหม่ในประเทศอินเดีย โดยหลักการฝึกความจำดีนั้นมีอยู่ว่า คนเรานั้นจะจำได้ผ่านทางช่องทาง 3 ทาง คือ..
ทางตา ได้แก่ การอ่าน การเห็น
ทางหู ได้แก่ การฟัง
ทางการเคลื่อนไหว ได้แก่ การขีดเขียน
คนบางคนจำได้ดีมากจากการอ่าน บางคนก็จำได้จากการฟัง แต่ส่วนใหญ่นั้นจะจำได้ดีด้วยการเคลื่อนไหวขีดเขียนบันทึก ผู้ที่สามารถจำผ่านตาได้นั้นนับว่าได้เปรียบมากกว่าใคร เพราะใช้เวลาน้อยกว่าแต่จำข้อความได้มากกว่า ผู้ที่สามารถจำได้ดีผ่านทางเสียงนั้น บางคนต้องใช้วิธีประกอบกันคืออ่านออกเสียงฟังเอง แต่สำหรับ Sailorty แล้ว ขอบอกว่าตกอยู่ในกลุ่มที่ 3 เหมือนคนส่วนใหญ่ค่ะ ^^* คือจะจำอะไรได้แม่นจะต้องจดบันทึกขีดเขียนขยุกขยิกไปตามเรื่อง แม้ไม่ได้กลับมาอ่านบันทึกนั้นอีกก็จะจำได้แม่น
“เก่งคน” หมายถึง ความสามารถในการใช้คนรอบตัวให้เกิดประโยชน์ โดยคนที่ห้อมล้อมตัวเราอยู่นั้นแบ่งได้เป็น 3 ชั้น คือ..
1. คนชั้นบน ได้แก่ หัวหน้า หรืผู้บังคับบัญชาของเรา
2. คนระดับเดียวกัน ได้แก่ เพื่อนร่วมงาน หรือเพื่อนฝูง
3. คนระดับล่าง ได้แก่ ลูกน้อง และผู้ใต้บังคับบัญชา หรือผู้ที่ให้บริการต่างๆ แก่เรา
ดังคำโบราณที่ว่าคนที่จะประสบความสำเร็จได้สูงส่งนั้น “ลูกน้องต้องหนุน เพื่อนฝูงต้องประคับประคอง และนายต้องดึงต้องอุ้ม” ถ้าใครสามารถทำให้คนห้อมล้อมตัวในระดับต่างๆ ปฏิบัติได้ดังกล่าว ก็จะส่งผลให้เจ้าตัวประสบความสำเร็จอย่างสูง
หลักการทั่วไปในการมีปฏิสัมพันธ์กับคนทั่วไป
1. ต้องแยกแยะความสัมพันธ์กับนายอย่างหนึ่ง กับเพื่อนฝูงอย่างหนึ่ง และกับผู้ใต้บังคับบัญชาอีกอย่างหนึ่ง คนแต่ละกลุ่มนั้นย่อมมีวิธีการปฏิสัมพันธ์ไม่เหมือนกัน
2. หัดเรียนรู้นิสัยใจคอคนที่เราต้องเข้าไปเกี่ยวข้องทุกระดับ ซึ่งเทคนิคในการอ่านนิสัยใจคอของคนนั้นมีอยู่หลายตำรา และไม่ควรละเลยเทคนิคโบราณที่ใช้ดูลักษณะคน ที่เรียกว่า “โหงวเฮ้ง” ซึ่งใช้ได้ทุกสถานการณ์ทั้งในด้านการปกครอง การติดต่อและเจรจา
“เก่งงาน” คนที่เก่งงานจะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
1. เรียนรู้งานได้เร็ว
2. สามารถมองงานในมุมกว้าง เข้าใจงานได้อย่างครบถ้วน
3. ทำงานเป็น กล่าวคือ
- รู้หน้าที่หน้าที่รับผิดชอบของตน
- รู้จักมอบหมายงาน
- รู้จักบริหารเวลา
- เก่งทางเจรจา โน้มน้าวและต่อรอง
- รู้จักทำงาน ต้องรู้ว่าเป้าหมายในการทำงานคืออะไร ต้องรู้ว่าจะทำให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างไร ((วางกลยุทธ์))
- รู้จักวิธีติดตามวัดผลและแก้ไข เพื่อให้การดำเนินการไปสู่เป้าหมาย
4. ทำงานด้วยใจรัก หรือ Passion ก่อให้เกิดพลังในการทำงานอย่างมาก เพราะโดยธรรมชาติแล้ว เมื่อใจรักและผูกพันในเรื่องใดแล้ว ก็มักจะทำเรื่องนั้นอย่างทุ่มเท ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
บทที่ 2 รู้จักใช้โอกาสให้เต็มที่!!
Sailorty เชื่อว่าโดยปกติของคนส่วนใหญ่นั้นจะมี “โอกาส” ผ่านเข้ามาในชีวิตไม่มากก็น้อยอยู่แทบทุกตัวคน ผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตนั้นจะมีความสามารถในการสัมผัสและมองเห็นโอกาสที่ผ่านเข้ามา รวมทั้งสามารถหาประโยชน์ได้จากโอกาสนั้น ส่วนผู้ที่ประสบความสำเร็จในการงานอย่างสุดยอดนั้น มีคุณสมบัติพิเศษเหนือขึ้นไปอีกคือ สามารถนำเอาโอกาสเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตไปพัฒนาต่อยอดได้ ทั้งยังสามารถสร้างโอกาสให้แก่ตนเอง ไม่ใช่แค่เพียงรอโอกาสเท่านั้น
อย่างไรก็ตามเราจะต้องสามารถแยกแยะให้ออกว่า การใช้โอกาสให้เต็มที่ ไม่ใช่การฉวยโอกาส เอารัด เอาเปรียบ หรือคดโกงผู้อื่น เพราะการฉวยโอกาสอย่างไร้คุณธรรมและจริยธรรมนั้น จะส่งผลร้ายมาสู่ตัวในระยะยาว
พอพูดถึงการใช้โอกาสให้เกิดประโยชน์สูงสุด Sailorty ก็นึกถึงตัวอย่างที่มีให้เห็นอยู่ทั่วไปในประเทศไทย ที่สามารถพูดได้ว่า ในเรื่องขอโอกาสนั้น ผู้ที่ประสบความสำเร็จตัวจริง ไม่เพียงแต่รู้จักโอกาสแล้วหยิบยกมาใช้ให้เกิดประโยชน์เท่านั้น แต่ท่านเหล่านั้นยังสามารถสร้างโอกาสให้กับตนเอง สร้างโอกาสจากความว่างเปล่าที่ผู้คนนึกไม่ถึงเลย
หลักสำคัญที่ Sailorty อยากให้เพื่อนๆ ทุกท่านทราบคือ ..ถ้าเราต้องการที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต ก็ต้องหมั่นฝึกฝนให้หูตาไวและตื่นตัวอยู่เสมอ สามารถสัมผัสโอกาสที่ผ่านเข้ามารอบตัว ซึ่งบางทีดูเป็นเรื่องเล็กน้อยได้อย่างว่องไว หัดสัมผัสให้ได้ แล้วนำมาใช้ประโยชน์ให้ได้อย่างเต็มที่
รวมทั้งต้องไม่ลืมที่จะสร้างโอกาสให้ตนเอง การสร้างโอกาสนั้น ต้องรู้จักใช้กาลเทศะให้เหมาะสมมิฉะนั้นจะทำให้ตนเองกลายเป็นคนจุ้นจ้าน เป็นตัวตลกของสังคมและกลับไปปิดโอกาสเสียอีก (-*-)
บทที่ 3 ต้องมีวิสัยทัศน์ที่ดีและสัญชาตญาณที่แม่นยำ!!
ผู้มีวิสัยทัศน์ คือ ผู้ที่สามารถมองเห็นการณ์ไกลและคาดคะเนเหตุการณ์ในอนาคตได้ค่อนข้างแม่นยำ โดยบุคคลเหล่านี้มีนิสัยประจะตัวอย่างหนึ่งที่เหมือนกันคือ มักมองอะไรไปข้างหน้าเสมอ ผิดกับคนธรรมดาที่มักจะมองเรื่องเฉพาะหน้าหรือเรื่องในอดีต
การมีวิสัยทัศน์ที่ดีเป็นก้าวแรกของการวางแผนที่ชีวิตที่ดีและปูเป็นพื้นฐานของการกำหนดกลยุทธ์ในการดำเนินชีวิต ซึ่งปัญหามีอยู่ว่าเราจะสร้างวิสัยทัศน์ที่ดีขึ้นได้อย่างไร?? ^^* มามา มาฟังทางนี้กัน ฮ่าๆๆ
การสร้างให้มีวิสัยทัศน์ที่ดีขึ้นมาได้นั้น จำเป็นต้องหัดฝึกฝนรวบรวมข้อมูลในปัจจุบัน แล้วพยายามวิเคราะห์และสังเคราะห์ให้เกิดเป็นเป็นภาพในอนาคต ควบคู่ไปกับการมองเรื่องราวต่างๆ ในลักษณะมุมกว้าง
ซึ่งการฝึกเช่นนี้บ่อยๆ จะทำให้เกิดเป็นนิสัย แต่อาจต้องอาศัยเวลาและความอดทนในการฝึกฝนหน่อยนะค่ะ ^^* โดยการมองที่อนาคตนั้น อย่ามองด้วยความวิตกกังวล เพราะจะไม่เกิดผลในทางสร้างสรรค์
((อันนี้ Sailorty ขอเตือนนะจะบอกให้ ))
สัญชาตญาณที่แม่นยำ มันน่าจะเหมือนกับคนที่มี “พลังภายใน” สามารถสำนึกรู้เหตุการณ์ต่างๆ ได้โดยไม่มีคำอธิบาย แต่ในการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่า ผู้ที่มีลางสังหรณ์หรือสัญชาตญาณ ซึ่งสามารถนำมาใช้กับการดำเนินชีวิตประจำวันได้นั้น เป็นผู้ที่มีความสามารถสื่อสารกับ “จิตใต้สำนึก” ได้ โดยในบางโอกาสจิตใต้สำนึก จะบงการพฤติกรรมหรือแนวทางการตัดสินใจของเรา ใครมีพลังด้านนี้อย่าลืมบอก Sailorty ด้วยนะค่ะว่าพรุ่งนี้ดัชนีหลักทรัพย์ไทยจะเป็นอย่างไร ควรซื้อหรือขายตัวไหน ตอนไหน ฮ่าๆๆ เอาแบบนี้เลยนะค่ะ ^^*
บทที่ 4 มีนิสัยเรียนรู้อย่างไม่รู้จบ!!
การเรียนรู้อย่างไม่รู้จบในความหมายของ Sailorty ไม่ได้หมายถึง การมีปริญญาบัตรหลายๆใบนะค่ะ -*-
เพราะบางมันก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่า เราจะประสบความสำเร็จในชีวิตซะหน่อยหนิ จริงรึป่าวค่ะ??
แต่การเรียนรู้อย่างไม่รู้จบในความหมายของ Sailorty คือ การมีความรู้และไม่หยุดที่จะไขว่หาความรู้ สั้นๆแต่ได้ใจความ ^^*
การเรียนรู้นั้นไม่จำเป็นต้องเป็นการเรียนตามระบบ คือ เข้ารับการศึกษาตามสถาบันต่างๆ แต่เราต้องมีวิธีการเรียนรู้จากโลกแห่งความเป็นจริง ด้วยวิธีเข้าไปศึกษาเหตุการณ์จริง ด้วยการสอบถามและศึกษาจากผู้รู้ต่างๆ และด้วยการอ่านจากหนังสือหรือเอกสารอย่างอื่น
วิธีศึกษานอกโรงเรียน คือ การดูงานและซักถามผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่อง โดยมีการวางแผนว่าจะไปดูงานที่ไหน เพราะอะไรและมีแง่มุมไหนที่ต้องเรียนรู้เป็นพิเศษ เรียนรู้ในการตั้งคำถาม ผู้ที่สนใจใฝ่รู้จะต้องรู้จักตั้งคำถามที่เป็นประโยชน์ นี่เป็นเงื่อนไขประการแรกของการเรียนรู้
การเรียนรู้นอกโรงเรียนที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ การอ่านหนังสือ ซึ่งจำเป็นที่จะต้องมีหลัก ไม่อย่างงั้นก็เป็นการเสียเวลา -*- โดยหลักการอ่านที่จะได้รับประโยชน์ คือ ต้องเลือกหนังสือให้ถูกต้อง ต้องอ่านอย่างเข้าใจ และรู้จักสรุปเนื้อหานำมาใช้ในชีวิตประจำวัน หรือบรรจุเข้าไว้ใน “ธนาคารข้อมูลส่วนตัว” จึงจะเกิดประโยชน์เต็มที่
นอกจากนี้ยังมีการเรียนรู้ผ่านเว็บไซด์ต่างๆ ทั้งที่ต้องเสียเงินและไม่ต้องเสียเงิน อินเตอร์เน็ตเป็นคลังความรู้ในยุคนี้ ที่คนซึ่งต้องการก้าวหน้าในชีวิตจะละเลยไม่ได้ อย่าง Sailorty เองก็จะมีที่ปรึกษาส่วนตั๊วส่วนตัวแบบถามอะไรตอบได้ ชื่อว่าพี่กู๋คนซื่อ (( Google)) พี่คนนี้เขาไม่สงวนลิขสิทธิ์การเป็นที่ปรึกษา ใครมีคำถามแล้วต้องการคำตอบ สามารถถามตามต้องการ ทุกเวลา ฮ่าๆๆ ^^*
บทที่ 5 มีลักษณะผู้นำ!!
ผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างสูง จำเป็นต้องมีลักษณะผู้นำ เนื่องจากต้องมีบริวารหรือจะต้องได้รับยกย่องยอมรับจากสังคม ซึ่งหมายความว่า ท่านจะเป็นนายที่ดีได้ จะต้องมีลักษณะผู้นำ เพื่อนำองค์กรไปสู่ความสำเร็จ หรือเรียกร้องความยอมรับนับถือจากสังคม จากลูกค้า
คุณลักษณะของผู้นำที่ประสบความสำเร็จในทางธุรกิจ..
1. มีความสามารถด้าน Creativity คือ มีความคิดสร้างสรรค์ ที่สามารถแปลงนามธรรมเป็นรูปธรรมได้
2. มีความสารถในการกำหนด Strategy ((กุศโลบายหรือกลยุทธ์))ได้เป็นอย่างดี กล่าวคือ สามารถค้นหาคำตอบต่อคำถามที่ “อย่างไร” ในการปฏิบัติการเพื่อไปสู่เป้าหมาย
3. สามารถสร้างให้เกิดสภาวะ Connectivity คือ ต้องอาศัยการเชื่อมโยงจุดต่างๆ เพื่อให้สัญญาณเดินครบวงจรจึงจะเกิดผล
สรุปว่าการเป็นผู้นำทางธุรกิจที่ประสบผลสำเร็จนั้น จะต้องรู้จักคิดเป็นขั้นเป็นตอน แปรเปลี่ยนออกไปเป็นแผนได้ และต้องรู้วิธีนำแผนนั้นมาปฏิบัติ จึงเรียกได้ว่ามีความสามารถเป็นผู้นำที่แท้จริง
“หัวใจ 3 ประการ” ของผู้นำทางธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมี ดังนี้
1. ผู้ที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจควรจะต้องเป็นคนที่มีสมาธิในการทำงานอย่างแน่วแน่ ((Concentration))
2. จะต้องทำงานด้วยความสม่ำเสมอแน่นอนไม่แกว่งไกว ((Consistancy))
3. จะต้องมีความสามารถในการประสานงาน ((Cooperation))
“เพื่อให้ชีวิตการงานประสบผลสำเร็จสุดยอดนั้น จะต้องฝึกปรือให้มีคุณสมบัติทั้ง 6 ข้อ”
คุณสมบัติของผู้นำที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ “เป็นคนมีระเบียบวินัย” การปฏิบัติตัวอยู่ในระเบียบวินัย จะสะท้อนพฤติกรรมที่เป็นรูปธรรมออกมาได้หลายอย่าง เช่น เป็นคนที่เปี่ยมด้วยคุณธรรม ((รู้จักว่าสิ่งใดดี สิ่งใดชั่ว เลือกปฏิบัติแต่สิ่งที่ดี)) เป็นคนที่มีจริยธรรม ((รู้จักปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของสังคมที่ดีและถูกต้อง)) และเป็นคนตรงต่อเวลา
บทที่ 6 เป็นคนหน้าหนาใจดำ!!
ความจริงความหมายของคำว่า “หน้าหนาใจดำ” นั้นมิได้ร้ายอย่างที่เข้าใจ อาจารย์หลี่ ซ่ง จาง ซึ่งเป็นผู้บัญญัติคำนี้ไว้ในหนังสือของท่านเมื่อ 100 ปีที่แล้ว ให้ความหมายไว้ว่า..
“(หน้า)หนา” หมายถึง คนที่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ ไม่ให้ปรากฏอาการออกทางสีหน้าไม่ว่าจะรู้สึกรัก ชอบหรือเกลียด โกธรแค่ไหน
“(ใจ)ดำ” หมายถึง คนที่มีจิตใจเข็มแข็ง กล้าตัดสินใจแม้จะฝืนความรู้สึกต่างๆ ไม่ว่าของตนเองหรือของผู้อื่น
สรุปว่าผู้เป็นคนหน้าหนาใจดำนั้น คือ ผู้ที่มีจิตใจเข็มแข็งบังคับอากัปกิริยาความรู้สึก และกล้าตัดสินใจในเรื่องที่สวนกระแส ((แบบนี้ Sailorty ว่าเราน่าจะนำไปใช้กับการเล่นหุ้นเนอะ ^^*)) ผู้ที่ฝึกศิลปะหน้าหนาใจดำที่ดีนั้น จะต้องกำกับพฤติกรรมของตนด้วยคุณธรรม หากใช้ศิลปะของความหน้าหนาใจดำเพื่อประโยชน์ของตนแต่ฝ่ายเดียวแล้ว ความเจริญจะไม่ยั่งยืน
บทที่ 7 รู้จักหาผู้อุปถัมถ์!!
การช่วยให้ชีวิตประสบความสำเร็จขึ้นนั้น จำเป็นต้องพึ่งผู้อุปถัมภ์พอสมควร และผู้อุปถัมภ์ไม่จำเป็นต้องมีบารมีมาก เพียงแต่เป็นผู้ชี้ช่องให้เราประกอบอาชีพได้ดียิ่งขึ้น ก็เพียงพอแล้ว
ความสำคัญของ “ผู้อุปถัมภ์” คือ จะช่วยย่นเวลาไปสู่ความสำเร็จลงมากทีเดียว ถ้าหาผู้อุปถัมภ์ได้ถูกต้อง ส่วนวิธีจะหาผู้อุปถัมภ์อย่างไรนั้น ก็เป็นไปตามเทคนิคเฉพาะตัว และขึ้นกับเหตุการณ์แต่ละช่วงจังหวะ
โปรดสังเกตคำว่า “ผู้อุปถัมภ์” มิได้หมายถึงเพียงผู้ให้อุปการะทางด้านการเงิน หรือตำแหน่งหน้าที่การงาน แต่หมายถึงผู้ที่ทำหน้าที่ “พี่เลี้ยง” หรือครูผู้ฝึกสอนในทุกเรื่อง โดยหมายรวมถึงผู้ที่เชี่ยวชาญเป็นพิเศษในงานแต่ละสาขา ที่เราจำเป็นต้องเรียนรู้เพื่อความก้าวหน้าในอาชีพและฐานะทางสังคม
ผู้อุปถัมภ์นี้อาจจะมีหลายคน เปลี่ยนกันไปตามความจำเป็นของชีวิตแต่ละขั้นแต่ละตอน ให้นึกเสมือนว่าผู้อุปถัมภ์ต่างๆนั้น คือ ผู้แจวเรือจ้างที่สามารถพาเราข้ามแม่น้ำลำคลองได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น
บทที่ 8 รู้จักสร้างข่ายใย!!
การดำรงชีวิตอยู่ในโลกปัจจุบันนั้น การมีพรรคพวกเพื่อนฝูงที่ดีหรือเรียกว่าพันธมิตรที่ดีมีความจำเป็นอย่างยิ่ง คนที่ปลีกวิเวกแบบหัวเดียวกระเทียมลีบ ไม่อาจประสบความสำเร็จได้ แต่การเลือกกลุ่ม เลือกพันธมิตรเพื่อสร้างข่ายใยเฉพาะตัว จำเป็นต้องใช้ความรอบครอบ เพราะถ้าตกเข้าไปในข่ายใยที่ผิดแล้ว ก็อาจเกิดความเสียหายได้
รหัสลับของคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตข้อหนึ่งก็คือ ต้องมีพวกพ้องที่ให้ความช่วยเหลือ ให้คำปรึกษา หรือให้ข่าวคราวประจำ และต้องไม่ลืมว่าข่ายใยต่างๆ นั้น เราเลือกเข้าเป็นสมาชิกของโครงข่ายหรือสร้างโครงข่ายขึ้นเองได้
บทที่ 9 มีความสามารถในการพลิกวิกฤตเป็นโอกาส!!
ความสามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสนั้น เท่าที่ Sailorty ได้ลองวิเคราะห์ ทำให้ทราบว่า มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรืออภินิหารส่วนตัวอะไรเป็นพิเศษ แต่ที่สามารถทำได้เป็นเพราะมีพื้นฐานทางด้านทัศนคติที่มักจะเป็นผู้ที่ “คิดอะไรในทางดี” อยู่เสมอๆ ไม่ค่อยคิดอะไรในแง่ร้าย แต่ก็ไม่ใช่คนประมาท
ผู้ที่สามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสนั้น จะเป็นผู้มีสติมั่นคง เมื่อยามประสบวิกฤตของชีวิตจะสามารถควบคุมสติและใช้หัวสมองไตร่ตรองหาช่องทางโอกาสท่ามกลางวิกฤตเหล่านั้น เพื่อแก้ไขสถานการณ์
คนทุกคนจะต้องผ่านพบทั้งโอกาสและวิกฤตมากน้อยเป็นแต่ละคนไป แต่ผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต จะสามารถลดแรงกระทบของวิกฤตต่อชีวิตตนเองได้ จากการตั้งสติ วิเคราะห์ หาโอกาสในวิกฤตนั้นๆ โดยไม่ท้อถอย หากพลิกวิกฤตไม่สำเร็จ ถึงแม้ล้ม ก็จะสามารถลุกขึ้นมาใหม่ โดยความสามารถพิเศษในข้อนี้เกิดขึ้นได้จากการฝึกฝนจิตใจ
บทที่ 10 เป็นทั้งนักคิดและนักปฏิบัติ!!
ผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตต้องเป็นนักคิดสมองเพชรและนักปฏิบัติมือทอง โดยที่คนส่วนมากมักได้แต่คิดฝันเพ้อไปตามเรื่อง แต่ไม่สามารถปฏิบัติได้ ซึ่งก็แปลว่า คนจะกระทำสิ่งใดให้สำเร็จได้นั้น จำเป็นต้องปฏิบัติด้วย กล่าวคือ คิดแล้วต้องทำ v(^0^*)v
อุปสรรคอันสำคัญที่สุดในการที่จะทำสิ่งใดให้ลุล่วงไปนั้น นอกเหนือจากการไม่รู้จักคิดในการวางขั้นตอนในการปฏิบัติแล้ว ก็คือ การผัดวันประกันพรุ่ง คนที่ทำอะไรไม่สำเร็จมักเป็นคนประเภทนี้
เทคนิคการขจัดนิสัยผัดวันประกันพรุ่ง..
1. รู้จักการจัดลำดับงานที่สำคัญมากน้อยและเร่งด่วนที่ต้องทำให้เสร็จลุล่วงก่อน
2. รู้จักซอยงานที่ยุ่งยากสลับซับซ้อนให้เป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อสามารถทำให้เสร็จได้โดยเร็ว
3. สร้างมโนภาพในใจขึ้นถึงผลร้ายจากการผัดวันประกันพรุ่งในอดีตที่เคยผ่านมาแม้ในเรื่องเล็กน้อย
4. ลงมือทำโดยไม่รีรอ ระยะแรกๆอาจจะยาก แต่ขอให้ฝืนนิสัยเพียงเดือน 2 เดือน นิสัยผัดวันประกันพรุ่งก็จะหมดไปได้
ขอให้เราบังคับใจลองปฏิบัติดู Sailorty เชื่อว่า เพื่อนๆจะกลายเป็นคนใหม่ที่สามารถลดความกังวลใจจากงานที่คั่งค้างไปได้เป็นอันมาก อันจะทำให้การไปสู่ความสำเร็จง่ายขึ้น
ในด้านการคิดอ่านนั้น ก่อนจะกระทำสิ่งใดขอให้ใช้หัวคิด แม้กระทั้งการพูด ถ้าได้คิดก่อน “คำพูดจะไม่เป็นนายเรา” คนหลายคนตั้งแต่เด็กจนผู้ใหญ่ประสบความเดือดร้อนในชีวิต เพราะไม่คิดก่อนทำและไม่คิดก่อนพูด
หลักทดสอบ “4-W และ 1-H”
W ตัวแรก คือ What ต้องถามตัวเองเสียก่อนว่า จะทำอะไร??
ตัว H แทนคำว่า How ต้องถามตัวเองเสียก่อนว่า ที่จะทำอะไรนั้นจะต้องทำอย่างไร??
3W ต่อมา คือ Where จำทำที่ไหน?? When จะทำเมื่อไร?? Whom จะทำโดยใคร??
หลักข้อนี้ต้องการให้ผู้อ่านจำเป็นแบบอย่างไปดัดแปลง ปฏิบัติให้เหมาะสมกับสถานการณ์และความคุ้นเคยเฉพาะตัว
Sailorty อยากให้เพื่อนๆทุกท่านเป็นคนที่มีกระบวนการคิดแบบ “การคิดครบวงจร” กล่าวคือ คิดถึงทางได้ ทางเสีย ของแต่ละเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ บ่งชี้และแยกแยะโอกาสและอุปสรรคปัญหา พร้อมทั้งหาวิธีแก้ในอนาคต ซึ่งถือเป็นส่วนของการมีวิสัยทัศน์ที่กว้างขวาง
อีกเรื่องสำคัญที่ Sailorty ไม่อยากให้เพื่อนๆ มองข้าม คือ “การสร้างนิสัยทำงานด้วยใจรัก” โดยธรรมชาติของคนเราแล้ว ทั้งร่างกายและจิตใจนั้นย่อมอดทนต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ตนไม่ชอบได้ชั่วครั้งชั่วคราว หรือถ้ามีเหตุจำเป็นทำให้ต้องฝืนใจทนไปนานๆ อาจจะทำให้เกิดความเครียดเป็นอันตรายต่อร่างกายและจิตใจ ทั้งไม่ส่งผลให้เจ้าตัวประสบความสำเร็จสุดยอดได้ Sailorty จึงอยากขอให้เพื่อนๆ ทุกท่าน ไม่ว่าจะทำสิ่งใด ควรทำด้วยใจรัก และมีความสุขไปกับการทำงาน ((เหมือนอย่าง Sailorty ที่กำลังเขียน Blogให้เพื่อนๆได้อ่านกันไงค่ะ ^^*))
บทที่ 11 รู้ค่าของเงิน!!
การใช้เงินอย่างการรู้จักค่านั้น ไม่ใช่การไม่ใช้เงิน หรือการประหยัดตระหนี่ถี่เหนียว (-*-) แต่เป็นการใช้เงินที่หวังผลให้คุ้มค่า
เพื่อนๆเคยสังเกตพฤติกรรมเศรษฐีในการทานอาหารกันรึเปล่าค่ะ?? เอาแค่ตามละครไทยทั่วไปก็ได้นะ ^^* แต่ขอให้สังเกตจากรุ่นที่เป็นผู้สร้างฐานะนะค่ะ ในการทานอาหารตามภัตตาคารต่างๆ เขาจะกินอยู่แบบพอเพียงพออิ่ม ไม่สั่งของเหลือเฟือฟุ่มเฟือยจนต้องห่อกลับบ้าน แต่ถ้าเขาต้องการเลี้ยงดูแขกซึ่งจะทำประโยชน์ให้แก่เขา ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม การสั่งอาหารจะเป็นอีกแบบหนึ่ง คือ สั่งของที่ดีที่สุดในภัตตารแห่งนั้นมาเลี้ยงแขก เพราะเศรษฐีพวกนี้เขาคิดว่า การเลี้ยงแขกครั้งนั้นเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง เขาจึงใช้เงินอย่างไม่เสียดาย ตรงกันข้ามกับเมื่อตอนเขารับประทานเพียงลำพัง
การใช้เงินของคนทั่วไป ((รวมถึง Sailorty ด้วยค่ะ T^T*)) มักใช้เงินเพราะอยากใช้ เช่น เมื่อห้างต่างๆ ลดราคา ผู้คนทั่วไปก็จะแย่งกันซื้อของที่ลดราคานั้น ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าซื้อของสิ่งนั้นแล้วจะเอาไปใช้ประโยชน์อะไร นอกจากจะไปกองรกบ้าน (-*-)
มีคำกล่าวในสังคมไทยเก่าๆ ว่ามีคนไปถามเศรษฐีว่า.. ทำไมเขาถึงใช้ชีวิตอย่างสมถะเช่นนั้น แต่ลูกหลานของเขาแต่ละคนเห็นใช้จ่ายกันฟุ่มเฟือย?? เศรษฐีผู้นั้นตอบว่า.. ลูกหลานเหล่านั้นเป็นลูกหลานเศรษฐี ถึงได้ใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย เพราะไม่ได้หาเงินเองไม่รู้ค่าของเงิน แต่ตัวเศรษฐีนั้น จะใช้จ่ายก็นึกถึงค่าของเงินเสมอ
ดังนั้น คนที่ใช้จ่ายเงินโดยไม่นึกถึงค่าของเงินนั้น ยากที่จะสร้างเนื้อสร้างตัวร่ำรวยได้ และถ้าหากโชคดีได้รับมรดกตกทอด เขาเหล่านั้นก็มีแต่จะจนลง ((จริงที่สุดใช่ไมค่ะ))
คนที่มีแววเศรษฐีนั้น นอกจากรู้คุณค่าของเงิน ใช้จ่ายอย่างระมัดระวังแล้ว เขายังรู้วิธีที่ทำให้งอกเงย ด้วยการลงทุนที่ฉลาด จึงทำให้คนเหล่านี้เป็นเศรษฐีโดยเร็ว
บทที่ 12 เป็นคนดวงดี!!
(*0*) แค่ขึ้นหัวข้อก็ทำให้ Sailorty รู้สึกอิจฉาแล้วค่ะ”
เพื่อนๆคนไหนมีความเชื่อว่าชีวิตคนเรานั้น ดำเนินไปตาม “บท” หรือ “สคริปต์” ที่ถูกกำหนดมาแต่ชาติปางก่อน ในชาตินี้ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากทำดีเข้าไว้ “สคริปต์” ของชาติหน้าจะได้ดีขึ้น อาจจะได้เกิดดีกว่าชาตินี้ ถ้าใครเชื่อตามหลักข้างต้นนี้อย่างเคร่งครัด Sailorty ขอแนะนำอีกครั้งว่าควรจะหยุดอ่านบทความเรื่องนี้ได้แล้ว เพราะจะทำให้เสียเวลาเปล่า (-0-“)
แม้คนเราจะเกิดมามีแผนที่ชีวิตติดตัวมา แต่ Sailorty ก็อยากจะบอกว่า.. มันไม่ถึงกับเป็นสคริปต์ตายตัวหรอกค่ะ การปฏิบัติในชาตินี้ ยังคงสามารถเปลี่ยนแปลงแผนที่ชีวิตได้พอสมควร ^^*
สำหรับ Sailorty ขอยอมรับว่ามีความเชื่อในเรื่องแผนที่ชีวิตหรือ “ดวง” คือ เชื่อว่าเราสามารถลิขิตชีวิตตัวเองได้ แม้ไม่ทั้งหมด 100% แต่ Sailorty เชื่อว่าแผนที่ชีวิตที่ติดตัวคนแต่ละรูปนามมานั้น ก็เสมือนแผนที่ทางภูมิศาสตร์ของประเทศใดประเทศหนึ่ง ซึ่งมีทั้งแม่น้ำและขุนเขา ถ้าปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติไม่พัฒนา สภาพภูมิศาสตร์ก็คงสภาพเดิม แต่ถ้าได้มีการพัฒนาปรับปรุง เช่นได้มีการทำเขื่อนตามลำน้ำสำคัญ ก็จะสามารถกักเก็บน้ำใช้ประโยชน์ได้สารพัด รวมทั้งการให้พลังงานไฟฟ้า และแน่นอนเหตุการณ์ทุกอย่างในโลกนี้ แขวนอยู่บนกฎแห่งความคงที่ คือในเรื่องเดียวกัน ก็มีทั้งการให้คุณและให้โทษ แต่ผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตสูงๆ นั้นสามารถควบคุมในสิ่งที่ตนกระทำให้ก่อผลประโยชน์มากกว่าให้โทษ และนี่คือสูตรลับอีกหนึ่งข้อของบรรดาเศรษฐีทั้งหลาย ที่ดูภายนอกเสมือนทำให้เกิดมาเป็นคนดวงดีตั้งแต่เกิด ซึ่งความจริงนั้นเป็นเพราะการกระทำของเขาในชาตินี้ ที่มีส่วนทำให้ชีวิตเขาประสบความสำเร็จ ดูประหนึ่งว่าเป็นคนดวงดี
*------------------------------------------ จบ --------------------------------------------------*
Sailorty อยากให้เพื่อนๆทุกท่านลองทำการสำรวจคุณสมบัติพิเศษของท่านดูนะค่ะ ว่าสิ่งใดมีดีอยู่แล้ว สิ่งใดควรมีการปรับปรุง โดยมีแนวทางปรับปรุงอย่างไร เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จต่อไป (^0^*)
ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี่ ที่บทความในตอน “สูตรลับเศรษฐี” มีเนื้อหาใจความที่ยาวไปนิดนึง ((รึว่ายาวมากดีล่ะเนี่ย)) แต่ถึงอย่างไร “Sailorty” ก็หวังว่าเพื่อนคงจะให้อภัยนะค่ะ เนื่องจากได้พยายามอย่างสุดความสามารถในการถ่ายทอดออกมาให้แก่เพื่อนๆที่รักทุกคน ถึงจะต้องใช้ความอดทนในการอ่านสักหน่อย แต่ก็คากว่าเพื่อนๆที่อ่านตั้งแต่ต้นจนจบ จะได้รับประโยชน์พอควร และที่สำคัญที่สุดเพื่อนๆอย่าลืมนำไปประยุกต์ใช้กับตนเองด้วยนะค่ะ
วันนี้ Sailorty ก็ขอลาไปทำการฝึกงานต่อ ((หลังจากที่อู้มาเป็นเวลานานพอสมควร)) ^^*
--- ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีสำหรับ Sailorty และ เพื่อนๆ ทุกคน “บ๊ะบายค๊ะ” ---
บทที่ 1 ทำอย่างไรจึงจะเก่งรอบตัว
Sailorty อยากให้ทุกท่านได้ทำความเข้าใจเสียก่อนว่า เก่งรอบตัวนั้นคืออะไร??
คนเราจะเก่งรอบตัวนั้น สามารถแยกแยะได้เป็น 3 ประการ ดังนี้
1. เก่งตน
2. เก่งคน
3. เก่งงาน
“เก่งตน” หมายถึง การมีความสามารถส่วนตัวที่โดดเด่นกว่าคนปรกติ ต้องเป็นคนที่ คิดเก่ง พูดเก่ง เขียนเก่ง ฟังเก่ง และจดจำดี
ปัญหาก็คือจะทำอย่างไรให้เป็นคนคิดเก่ง พูดเก่ง เขียนเก่ง ฟังเก่ง และจดจำดี คำตอบก็คือ การจะเก่งได้ดังกล่าวนั้น จะต้องประกอบด้วยปัจจัย 2 ประการ คือ มีพรสวรรค์และมีพรแสวง โดยพรสวรรค์เป็นเรื่องที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด ส่วนพรแสวงนั้นฝึกฝนได้ ดังนั้น Sailorty อยากให้ทุกท่านลองค้นหาพรสวรรค์ในตัวให้พบ แล้วนำมาใช้ประโยชน์ให้เต็มที่ และที่สำคัญที่สุดคือมั่นสร้างสมพรแสวง ฝึกฝนเรื่องที่ต้องการให้เก่งอย่างมีแบบแผน และหาครูฝึกให้เหมาะ สม
คุณสมบัติประจำตัวที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของคนที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิต ก็คือเป็นคนที่มีความจำดีเป็นเลิศ ซึ่งความจำนั้นมีการฝึกฝนได้ด้วยเทคนิคแบบต่างๆ บางเทคนิคก็สลับซับซ้อนดูเป็น “วิทยาศาสตร์” แต่มีวิธีที่ใช้อย่างได้ผล เป็นวิธีง่ายๆ จากฤๅษีสมัยใหม่ในประเทศอินเดีย โดยหลักการฝึกความจำดีนั้นมีอยู่ว่า คนเรานั้นจะจำได้ผ่านทางช่องทาง 3 ทาง คือ..
ทางตา ได้แก่ การอ่าน การเห็น
ทางหู ได้แก่ การฟัง
ทางการเคลื่อนไหว ได้แก่ การขีดเขียน
คนบางคนจำได้ดีมากจากการอ่าน บางคนก็จำได้จากการฟัง แต่ส่วนใหญ่นั้นจะจำได้ดีด้วยการเคลื่อนไหวขีดเขียนบันทึก ผู้ที่สามารถจำผ่านตาได้นั้นนับว่าได้เปรียบมากกว่าใคร เพราะใช้เวลาน้อยกว่าแต่จำข้อความได้มากกว่า ผู้ที่สามารถจำได้ดีผ่านทางเสียงนั้น บางคนต้องใช้วิธีประกอบกันคืออ่านออกเสียงฟังเอง แต่สำหรับ Sailorty แล้ว ขอบอกว่าตกอยู่ในกลุ่มที่ 3 เหมือนคนส่วนใหญ่ค่ะ ^^* คือจะจำอะไรได้แม่นจะต้องจดบันทึกขีดเขียนขยุกขยิกไปตามเรื่อง แม้ไม่ได้กลับมาอ่านบันทึกนั้นอีกก็จะจำได้แม่น
“เก่งคน” หมายถึง ความสามารถในการใช้คนรอบตัวให้เกิดประโยชน์ โดยคนที่ห้อมล้อมตัวเราอยู่นั้นแบ่งได้เป็น 3 ชั้น คือ..
1. คนชั้นบน ได้แก่ หัวหน้า หรืผู้บังคับบัญชาของเรา
2. คนระดับเดียวกัน ได้แก่ เพื่อนร่วมงาน หรือเพื่อนฝูง
3. คนระดับล่าง ได้แก่ ลูกน้อง และผู้ใต้บังคับบัญชา หรือผู้ที่ให้บริการต่างๆ แก่เรา
ดังคำโบราณที่ว่าคนที่จะประสบความสำเร็จได้สูงส่งนั้น “ลูกน้องต้องหนุน เพื่อนฝูงต้องประคับประคอง และนายต้องดึงต้องอุ้ม” ถ้าใครสามารถทำให้คนห้อมล้อมตัวในระดับต่างๆ ปฏิบัติได้ดังกล่าว ก็จะส่งผลให้เจ้าตัวประสบความสำเร็จอย่างสูง
หลักการทั่วไปในการมีปฏิสัมพันธ์กับคนทั่วไป
1. ต้องแยกแยะความสัมพันธ์กับนายอย่างหนึ่ง กับเพื่อนฝูงอย่างหนึ่ง และกับผู้ใต้บังคับบัญชาอีกอย่างหนึ่ง คนแต่ละกลุ่มนั้นย่อมมีวิธีการปฏิสัมพันธ์ไม่เหมือนกัน
2. หัดเรียนรู้นิสัยใจคอคนที่เราต้องเข้าไปเกี่ยวข้องทุกระดับ ซึ่งเทคนิคในการอ่านนิสัยใจคอของคนนั้นมีอยู่หลายตำรา และไม่ควรละเลยเทคนิคโบราณที่ใช้ดูลักษณะคน ที่เรียกว่า “โหงวเฮ้ง” ซึ่งใช้ได้ทุกสถานการณ์ทั้งในด้านการปกครอง การติดต่อและเจรจา
“เก่งงาน” คนที่เก่งงานจะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
1. เรียนรู้งานได้เร็ว
2. สามารถมองงานในมุมกว้าง เข้าใจงานได้อย่างครบถ้วน
3. ทำงานเป็น กล่าวคือ
- รู้หน้าที่หน้าที่รับผิดชอบของตน
- รู้จักมอบหมายงาน
- รู้จักบริหารเวลา
- เก่งทางเจรจา โน้มน้าวและต่อรอง
- รู้จักทำงาน ต้องรู้ว่าเป้าหมายในการทำงานคืออะไร ต้องรู้ว่าจะทำให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างไร ((วางกลยุทธ์))
- รู้จักวิธีติดตามวัดผลและแก้ไข เพื่อให้การดำเนินการไปสู่เป้าหมาย
4. ทำงานด้วยใจรัก หรือ Passion ก่อให้เกิดพลังในการทำงานอย่างมาก เพราะโดยธรรมชาติแล้ว เมื่อใจรักและผูกพันในเรื่องใดแล้ว ก็มักจะทำเรื่องนั้นอย่างทุ่มเท ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
บทที่ 2 รู้จักใช้โอกาสให้เต็มที่!!
Sailorty เชื่อว่าโดยปกติของคนส่วนใหญ่นั้นจะมี “โอกาส” ผ่านเข้ามาในชีวิตไม่มากก็น้อยอยู่แทบทุกตัวคน ผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตนั้นจะมีความสามารถในการสัมผัสและมองเห็นโอกาสที่ผ่านเข้ามา รวมทั้งสามารถหาประโยชน์ได้จากโอกาสนั้น ส่วนผู้ที่ประสบความสำเร็จในการงานอย่างสุดยอดนั้น มีคุณสมบัติพิเศษเหนือขึ้นไปอีกคือ สามารถนำเอาโอกาสเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตไปพัฒนาต่อยอดได้ ทั้งยังสามารถสร้างโอกาสให้แก่ตนเอง ไม่ใช่แค่เพียงรอโอกาสเท่านั้น
อย่างไรก็ตามเราจะต้องสามารถแยกแยะให้ออกว่า การใช้โอกาสให้เต็มที่ ไม่ใช่การฉวยโอกาส เอารัด เอาเปรียบ หรือคดโกงผู้อื่น เพราะการฉวยโอกาสอย่างไร้คุณธรรมและจริยธรรมนั้น จะส่งผลร้ายมาสู่ตัวในระยะยาว
พอพูดถึงการใช้โอกาสให้เกิดประโยชน์สูงสุด Sailorty ก็นึกถึงตัวอย่างที่มีให้เห็นอยู่ทั่วไปในประเทศไทย ที่สามารถพูดได้ว่า ในเรื่องขอโอกาสนั้น ผู้ที่ประสบความสำเร็จตัวจริง ไม่เพียงแต่รู้จักโอกาสแล้วหยิบยกมาใช้ให้เกิดประโยชน์เท่านั้น แต่ท่านเหล่านั้นยังสามารถสร้างโอกาสให้กับตนเอง สร้างโอกาสจากความว่างเปล่าที่ผู้คนนึกไม่ถึงเลย
หลักสำคัญที่ Sailorty อยากให้เพื่อนๆ ทุกท่านทราบคือ ..ถ้าเราต้องการที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต ก็ต้องหมั่นฝึกฝนให้หูตาไวและตื่นตัวอยู่เสมอ สามารถสัมผัสโอกาสที่ผ่านเข้ามารอบตัว ซึ่งบางทีดูเป็นเรื่องเล็กน้อยได้อย่างว่องไว หัดสัมผัสให้ได้ แล้วนำมาใช้ประโยชน์ให้ได้อย่างเต็มที่
รวมทั้งต้องไม่ลืมที่จะสร้างโอกาสให้ตนเอง การสร้างโอกาสนั้น ต้องรู้จักใช้กาลเทศะให้เหมาะสมมิฉะนั้นจะทำให้ตนเองกลายเป็นคนจุ้นจ้าน เป็นตัวตลกของสังคมและกลับไปปิดโอกาสเสียอีก (-*-)
บทที่ 3 ต้องมีวิสัยทัศน์ที่ดีและสัญชาตญาณที่แม่นยำ!!
ผู้มีวิสัยทัศน์ คือ ผู้ที่สามารถมองเห็นการณ์ไกลและคาดคะเนเหตุการณ์ในอนาคตได้ค่อนข้างแม่นยำ โดยบุคคลเหล่านี้มีนิสัยประจะตัวอย่างหนึ่งที่เหมือนกันคือ มักมองอะไรไปข้างหน้าเสมอ ผิดกับคนธรรมดาที่มักจะมองเรื่องเฉพาะหน้าหรือเรื่องในอดีต
การมีวิสัยทัศน์ที่ดีเป็นก้าวแรกของการวางแผนที่ชีวิตที่ดีและปูเป็นพื้นฐานของการกำหนดกลยุทธ์ในการดำเนินชีวิต ซึ่งปัญหามีอยู่ว่าเราจะสร้างวิสัยทัศน์ที่ดีขึ้นได้อย่างไร?? ^^* มามา มาฟังทางนี้กัน ฮ่าๆๆ
การสร้างให้มีวิสัยทัศน์ที่ดีขึ้นมาได้นั้น จำเป็นต้องหัดฝึกฝนรวบรวมข้อมูลในปัจจุบัน แล้วพยายามวิเคราะห์และสังเคราะห์ให้เกิดเป็นเป็นภาพในอนาคต ควบคู่ไปกับการมองเรื่องราวต่างๆ ในลักษณะมุมกว้าง
ซึ่งการฝึกเช่นนี้บ่อยๆ จะทำให้เกิดเป็นนิสัย แต่อาจต้องอาศัยเวลาและความอดทนในการฝึกฝนหน่อยนะค่ะ ^^* โดยการมองที่อนาคตนั้น อย่ามองด้วยความวิตกกังวล เพราะจะไม่เกิดผลในทางสร้างสรรค์
((อันนี้ Sailorty ขอเตือนนะจะบอกให้ ))
สัญชาตญาณที่แม่นยำ มันน่าจะเหมือนกับคนที่มี “พลังภายใน” สามารถสำนึกรู้เหตุการณ์ต่างๆ ได้โดยไม่มีคำอธิบาย แต่ในการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่า ผู้ที่มีลางสังหรณ์หรือสัญชาตญาณ ซึ่งสามารถนำมาใช้กับการดำเนินชีวิตประจำวันได้นั้น เป็นผู้ที่มีความสามารถสื่อสารกับ “จิตใต้สำนึก” ได้ โดยในบางโอกาสจิตใต้สำนึก จะบงการพฤติกรรมหรือแนวทางการตัดสินใจของเรา ใครมีพลังด้านนี้อย่าลืมบอก Sailorty ด้วยนะค่ะว่าพรุ่งนี้ดัชนีหลักทรัพย์ไทยจะเป็นอย่างไร ควรซื้อหรือขายตัวไหน ตอนไหน ฮ่าๆๆ เอาแบบนี้เลยนะค่ะ ^^*
บทที่ 4 มีนิสัยเรียนรู้อย่างไม่รู้จบ!!
การเรียนรู้อย่างไม่รู้จบในความหมายของ Sailorty ไม่ได้หมายถึง การมีปริญญาบัตรหลายๆใบนะค่ะ -*-
เพราะบางมันก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่า เราจะประสบความสำเร็จในชีวิตซะหน่อยหนิ จริงรึป่าวค่ะ??
แต่การเรียนรู้อย่างไม่รู้จบในความหมายของ Sailorty คือ การมีความรู้และไม่หยุดที่จะไขว่หาความรู้ สั้นๆแต่ได้ใจความ ^^*
การเรียนรู้นั้นไม่จำเป็นต้องเป็นการเรียนตามระบบ คือ เข้ารับการศึกษาตามสถาบันต่างๆ แต่เราต้องมีวิธีการเรียนรู้จากโลกแห่งความเป็นจริง ด้วยวิธีเข้าไปศึกษาเหตุการณ์จริง ด้วยการสอบถามและศึกษาจากผู้รู้ต่างๆ และด้วยการอ่านจากหนังสือหรือเอกสารอย่างอื่น
วิธีศึกษานอกโรงเรียน คือ การดูงานและซักถามผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่อง โดยมีการวางแผนว่าจะไปดูงานที่ไหน เพราะอะไรและมีแง่มุมไหนที่ต้องเรียนรู้เป็นพิเศษ เรียนรู้ในการตั้งคำถาม ผู้ที่สนใจใฝ่รู้จะต้องรู้จักตั้งคำถามที่เป็นประโยชน์ นี่เป็นเงื่อนไขประการแรกของการเรียนรู้
การเรียนรู้นอกโรงเรียนที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ การอ่านหนังสือ ซึ่งจำเป็นที่จะต้องมีหลัก ไม่อย่างงั้นก็เป็นการเสียเวลา -*- โดยหลักการอ่านที่จะได้รับประโยชน์ คือ ต้องเลือกหนังสือให้ถูกต้อง ต้องอ่านอย่างเข้าใจ และรู้จักสรุปเนื้อหานำมาใช้ในชีวิตประจำวัน หรือบรรจุเข้าไว้ใน “ธนาคารข้อมูลส่วนตัว” จึงจะเกิดประโยชน์เต็มที่
นอกจากนี้ยังมีการเรียนรู้ผ่านเว็บไซด์ต่างๆ ทั้งที่ต้องเสียเงินและไม่ต้องเสียเงิน อินเตอร์เน็ตเป็นคลังความรู้ในยุคนี้ ที่คนซึ่งต้องการก้าวหน้าในชีวิตจะละเลยไม่ได้ อย่าง Sailorty เองก็จะมีที่ปรึกษาส่วนตั๊วส่วนตัวแบบถามอะไรตอบได้ ชื่อว่าพี่กู๋คนซื่อ (( Google)) พี่คนนี้เขาไม่สงวนลิขสิทธิ์การเป็นที่ปรึกษา ใครมีคำถามแล้วต้องการคำตอบ สามารถถามตามต้องการ ทุกเวลา ฮ่าๆๆ ^^*
บทที่ 5 มีลักษณะผู้นำ!!
ผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างสูง จำเป็นต้องมีลักษณะผู้นำ เนื่องจากต้องมีบริวารหรือจะต้องได้รับยกย่องยอมรับจากสังคม ซึ่งหมายความว่า ท่านจะเป็นนายที่ดีได้ จะต้องมีลักษณะผู้นำ เพื่อนำองค์กรไปสู่ความสำเร็จ หรือเรียกร้องความยอมรับนับถือจากสังคม จากลูกค้า
คุณลักษณะของผู้นำที่ประสบความสำเร็จในทางธุรกิจ..
1. มีความสามารถด้าน Creativity คือ มีความคิดสร้างสรรค์ ที่สามารถแปลงนามธรรมเป็นรูปธรรมได้
2. มีความสารถในการกำหนด Strategy ((กุศโลบายหรือกลยุทธ์))ได้เป็นอย่างดี กล่าวคือ สามารถค้นหาคำตอบต่อคำถามที่ “อย่างไร” ในการปฏิบัติการเพื่อไปสู่เป้าหมาย
3. สามารถสร้างให้เกิดสภาวะ Connectivity คือ ต้องอาศัยการเชื่อมโยงจุดต่างๆ เพื่อให้สัญญาณเดินครบวงจรจึงจะเกิดผล
สรุปว่าการเป็นผู้นำทางธุรกิจที่ประสบผลสำเร็จนั้น จะต้องรู้จักคิดเป็นขั้นเป็นตอน แปรเปลี่ยนออกไปเป็นแผนได้ และต้องรู้วิธีนำแผนนั้นมาปฏิบัติ จึงเรียกได้ว่ามีความสามารถเป็นผู้นำที่แท้จริง
“หัวใจ 3 ประการ” ของผู้นำทางธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมี ดังนี้
1. ผู้ที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจควรจะต้องเป็นคนที่มีสมาธิในการทำงานอย่างแน่วแน่ ((Concentration))
2. จะต้องทำงานด้วยความสม่ำเสมอแน่นอนไม่แกว่งไกว ((Consistancy))
3. จะต้องมีความสามารถในการประสานงาน ((Cooperation))
“เพื่อให้ชีวิตการงานประสบผลสำเร็จสุดยอดนั้น จะต้องฝึกปรือให้มีคุณสมบัติทั้ง 6 ข้อ”
คุณสมบัติของผู้นำที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ “เป็นคนมีระเบียบวินัย” การปฏิบัติตัวอยู่ในระเบียบวินัย จะสะท้อนพฤติกรรมที่เป็นรูปธรรมออกมาได้หลายอย่าง เช่น เป็นคนที่เปี่ยมด้วยคุณธรรม ((รู้จักว่าสิ่งใดดี สิ่งใดชั่ว เลือกปฏิบัติแต่สิ่งที่ดี)) เป็นคนที่มีจริยธรรม ((รู้จักปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของสังคมที่ดีและถูกต้อง)) และเป็นคนตรงต่อเวลา
บทที่ 6 เป็นคนหน้าหนาใจดำ!!
ความจริงความหมายของคำว่า “หน้าหนาใจดำ” นั้นมิได้ร้ายอย่างที่เข้าใจ อาจารย์หลี่ ซ่ง จาง ซึ่งเป็นผู้บัญญัติคำนี้ไว้ในหนังสือของท่านเมื่อ 100 ปีที่แล้ว ให้ความหมายไว้ว่า..
“(หน้า)หนา” หมายถึง คนที่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ ไม่ให้ปรากฏอาการออกทางสีหน้าไม่ว่าจะรู้สึกรัก ชอบหรือเกลียด โกธรแค่ไหน
“(ใจ)ดำ” หมายถึง คนที่มีจิตใจเข็มแข็ง กล้าตัดสินใจแม้จะฝืนความรู้สึกต่างๆ ไม่ว่าของตนเองหรือของผู้อื่น
สรุปว่าผู้เป็นคนหน้าหนาใจดำนั้น คือ ผู้ที่มีจิตใจเข็มแข็งบังคับอากัปกิริยาความรู้สึก และกล้าตัดสินใจในเรื่องที่สวนกระแส ((แบบนี้ Sailorty ว่าเราน่าจะนำไปใช้กับการเล่นหุ้นเนอะ ^^*)) ผู้ที่ฝึกศิลปะหน้าหนาใจดำที่ดีนั้น จะต้องกำกับพฤติกรรมของตนด้วยคุณธรรม หากใช้ศิลปะของความหน้าหนาใจดำเพื่อประโยชน์ของตนแต่ฝ่ายเดียวแล้ว ความเจริญจะไม่ยั่งยืน
บทที่ 7 รู้จักหาผู้อุปถัมถ์!!
การช่วยให้ชีวิตประสบความสำเร็จขึ้นนั้น จำเป็นต้องพึ่งผู้อุปถัมภ์พอสมควร และผู้อุปถัมภ์ไม่จำเป็นต้องมีบารมีมาก เพียงแต่เป็นผู้ชี้ช่องให้เราประกอบอาชีพได้ดียิ่งขึ้น ก็เพียงพอแล้ว
ความสำคัญของ “ผู้อุปถัมภ์” คือ จะช่วยย่นเวลาไปสู่ความสำเร็จลงมากทีเดียว ถ้าหาผู้อุปถัมภ์ได้ถูกต้อง ส่วนวิธีจะหาผู้อุปถัมภ์อย่างไรนั้น ก็เป็นไปตามเทคนิคเฉพาะตัว และขึ้นกับเหตุการณ์แต่ละช่วงจังหวะ
โปรดสังเกตคำว่า “ผู้อุปถัมภ์” มิได้หมายถึงเพียงผู้ให้อุปการะทางด้านการเงิน หรือตำแหน่งหน้าที่การงาน แต่หมายถึงผู้ที่ทำหน้าที่ “พี่เลี้ยง” หรือครูผู้ฝึกสอนในทุกเรื่อง โดยหมายรวมถึงผู้ที่เชี่ยวชาญเป็นพิเศษในงานแต่ละสาขา ที่เราจำเป็นต้องเรียนรู้เพื่อความก้าวหน้าในอาชีพและฐานะทางสังคม
ผู้อุปถัมภ์นี้อาจจะมีหลายคน เปลี่ยนกันไปตามความจำเป็นของชีวิตแต่ละขั้นแต่ละตอน ให้นึกเสมือนว่าผู้อุปถัมภ์ต่างๆนั้น คือ ผู้แจวเรือจ้างที่สามารถพาเราข้ามแม่น้ำลำคลองได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น
บทที่ 8 รู้จักสร้างข่ายใย!!
การดำรงชีวิตอยู่ในโลกปัจจุบันนั้น การมีพรรคพวกเพื่อนฝูงที่ดีหรือเรียกว่าพันธมิตรที่ดีมีความจำเป็นอย่างยิ่ง คนที่ปลีกวิเวกแบบหัวเดียวกระเทียมลีบ ไม่อาจประสบความสำเร็จได้ แต่การเลือกกลุ่ม เลือกพันธมิตรเพื่อสร้างข่ายใยเฉพาะตัว จำเป็นต้องใช้ความรอบครอบ เพราะถ้าตกเข้าไปในข่ายใยที่ผิดแล้ว ก็อาจเกิดความเสียหายได้
รหัสลับของคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตข้อหนึ่งก็คือ ต้องมีพวกพ้องที่ให้ความช่วยเหลือ ให้คำปรึกษา หรือให้ข่าวคราวประจำ และต้องไม่ลืมว่าข่ายใยต่างๆ นั้น เราเลือกเข้าเป็นสมาชิกของโครงข่ายหรือสร้างโครงข่ายขึ้นเองได้
บทที่ 9 มีความสามารถในการพลิกวิกฤตเป็นโอกาส!!
ความสามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสนั้น เท่าที่ Sailorty ได้ลองวิเคราะห์ ทำให้ทราบว่า มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรืออภินิหารส่วนตัวอะไรเป็นพิเศษ แต่ที่สามารถทำได้เป็นเพราะมีพื้นฐานทางด้านทัศนคติที่มักจะเป็นผู้ที่ “คิดอะไรในทางดี” อยู่เสมอๆ ไม่ค่อยคิดอะไรในแง่ร้าย แต่ก็ไม่ใช่คนประมาท
ผู้ที่สามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสนั้น จะเป็นผู้มีสติมั่นคง เมื่อยามประสบวิกฤตของชีวิตจะสามารถควบคุมสติและใช้หัวสมองไตร่ตรองหาช่องทางโอกาสท่ามกลางวิกฤตเหล่านั้น เพื่อแก้ไขสถานการณ์
คนทุกคนจะต้องผ่านพบทั้งโอกาสและวิกฤตมากน้อยเป็นแต่ละคนไป แต่ผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต จะสามารถลดแรงกระทบของวิกฤตต่อชีวิตตนเองได้ จากการตั้งสติ วิเคราะห์ หาโอกาสในวิกฤตนั้นๆ โดยไม่ท้อถอย หากพลิกวิกฤตไม่สำเร็จ ถึงแม้ล้ม ก็จะสามารถลุกขึ้นมาใหม่ โดยความสามารถพิเศษในข้อนี้เกิดขึ้นได้จากการฝึกฝนจิตใจ
บทที่ 10 เป็นทั้งนักคิดและนักปฏิบัติ!!
ผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตต้องเป็นนักคิดสมองเพชรและนักปฏิบัติมือทอง โดยที่คนส่วนมากมักได้แต่คิดฝันเพ้อไปตามเรื่อง แต่ไม่สามารถปฏิบัติได้ ซึ่งก็แปลว่า คนจะกระทำสิ่งใดให้สำเร็จได้นั้น จำเป็นต้องปฏิบัติด้วย กล่าวคือ คิดแล้วต้องทำ v(^0^*)v
อุปสรรคอันสำคัญที่สุดในการที่จะทำสิ่งใดให้ลุล่วงไปนั้น นอกเหนือจากการไม่รู้จักคิดในการวางขั้นตอนในการปฏิบัติแล้ว ก็คือ การผัดวันประกันพรุ่ง คนที่ทำอะไรไม่สำเร็จมักเป็นคนประเภทนี้
เทคนิคการขจัดนิสัยผัดวันประกันพรุ่ง..
1. รู้จักการจัดลำดับงานที่สำคัญมากน้อยและเร่งด่วนที่ต้องทำให้เสร็จลุล่วงก่อน
2. รู้จักซอยงานที่ยุ่งยากสลับซับซ้อนให้เป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อสามารถทำให้เสร็จได้โดยเร็ว
3. สร้างมโนภาพในใจขึ้นถึงผลร้ายจากการผัดวันประกันพรุ่งในอดีตที่เคยผ่านมาแม้ในเรื่องเล็กน้อย
4. ลงมือทำโดยไม่รีรอ ระยะแรกๆอาจจะยาก แต่ขอให้ฝืนนิสัยเพียงเดือน 2 เดือน นิสัยผัดวันประกันพรุ่งก็จะหมดไปได้
ขอให้เราบังคับใจลองปฏิบัติดู Sailorty เชื่อว่า เพื่อนๆจะกลายเป็นคนใหม่ที่สามารถลดความกังวลใจจากงานที่คั่งค้างไปได้เป็นอันมาก อันจะทำให้การไปสู่ความสำเร็จง่ายขึ้น
ในด้านการคิดอ่านนั้น ก่อนจะกระทำสิ่งใดขอให้ใช้หัวคิด แม้กระทั้งการพูด ถ้าได้คิดก่อน “คำพูดจะไม่เป็นนายเรา” คนหลายคนตั้งแต่เด็กจนผู้ใหญ่ประสบความเดือดร้อนในชีวิต เพราะไม่คิดก่อนทำและไม่คิดก่อนพูด
หลักทดสอบ “4-W และ 1-H”
W ตัวแรก คือ What ต้องถามตัวเองเสียก่อนว่า จะทำอะไร??
ตัว H แทนคำว่า How ต้องถามตัวเองเสียก่อนว่า ที่จะทำอะไรนั้นจะต้องทำอย่างไร??
3W ต่อมา คือ Where จำทำที่ไหน?? When จะทำเมื่อไร?? Whom จะทำโดยใคร??
หลักข้อนี้ต้องการให้ผู้อ่านจำเป็นแบบอย่างไปดัดแปลง ปฏิบัติให้เหมาะสมกับสถานการณ์และความคุ้นเคยเฉพาะตัว
Sailorty อยากให้เพื่อนๆทุกท่านเป็นคนที่มีกระบวนการคิดแบบ “การคิดครบวงจร” กล่าวคือ คิดถึงทางได้ ทางเสีย ของแต่ละเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ บ่งชี้และแยกแยะโอกาสและอุปสรรคปัญหา พร้อมทั้งหาวิธีแก้ในอนาคต ซึ่งถือเป็นส่วนของการมีวิสัยทัศน์ที่กว้างขวาง
อีกเรื่องสำคัญที่ Sailorty ไม่อยากให้เพื่อนๆ มองข้าม คือ “การสร้างนิสัยทำงานด้วยใจรัก” โดยธรรมชาติของคนเราแล้ว ทั้งร่างกายและจิตใจนั้นย่อมอดทนต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ตนไม่ชอบได้ชั่วครั้งชั่วคราว หรือถ้ามีเหตุจำเป็นทำให้ต้องฝืนใจทนไปนานๆ อาจจะทำให้เกิดความเครียดเป็นอันตรายต่อร่างกายและจิตใจ ทั้งไม่ส่งผลให้เจ้าตัวประสบความสำเร็จสุดยอดได้ Sailorty จึงอยากขอให้เพื่อนๆ ทุกท่าน ไม่ว่าจะทำสิ่งใด ควรทำด้วยใจรัก และมีความสุขไปกับการทำงาน ((เหมือนอย่าง Sailorty ที่กำลังเขียน Blogให้เพื่อนๆได้อ่านกันไงค่ะ ^^*))
บทที่ 11 รู้ค่าของเงิน!!
การใช้เงินอย่างการรู้จักค่านั้น ไม่ใช่การไม่ใช้เงิน หรือการประหยัดตระหนี่ถี่เหนียว (-*-) แต่เป็นการใช้เงินที่หวังผลให้คุ้มค่า
เพื่อนๆเคยสังเกตพฤติกรรมเศรษฐีในการทานอาหารกันรึเปล่าค่ะ?? เอาแค่ตามละครไทยทั่วไปก็ได้นะ ^^* แต่ขอให้สังเกตจากรุ่นที่เป็นผู้สร้างฐานะนะค่ะ ในการทานอาหารตามภัตตาคารต่างๆ เขาจะกินอยู่แบบพอเพียงพออิ่ม ไม่สั่งของเหลือเฟือฟุ่มเฟือยจนต้องห่อกลับบ้าน แต่ถ้าเขาต้องการเลี้ยงดูแขกซึ่งจะทำประโยชน์ให้แก่เขา ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม การสั่งอาหารจะเป็นอีกแบบหนึ่ง คือ สั่งของที่ดีที่สุดในภัตตารแห่งนั้นมาเลี้ยงแขก เพราะเศรษฐีพวกนี้เขาคิดว่า การเลี้ยงแขกครั้งนั้นเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง เขาจึงใช้เงินอย่างไม่เสียดาย ตรงกันข้ามกับเมื่อตอนเขารับประทานเพียงลำพัง
การใช้เงินของคนทั่วไป ((รวมถึง Sailorty ด้วยค่ะ T^T*)) มักใช้เงินเพราะอยากใช้ เช่น เมื่อห้างต่างๆ ลดราคา ผู้คนทั่วไปก็จะแย่งกันซื้อของที่ลดราคานั้น ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าซื้อของสิ่งนั้นแล้วจะเอาไปใช้ประโยชน์อะไร นอกจากจะไปกองรกบ้าน (-*-)
มีคำกล่าวในสังคมไทยเก่าๆ ว่ามีคนไปถามเศรษฐีว่า.. ทำไมเขาถึงใช้ชีวิตอย่างสมถะเช่นนั้น แต่ลูกหลานของเขาแต่ละคนเห็นใช้จ่ายกันฟุ่มเฟือย?? เศรษฐีผู้นั้นตอบว่า.. ลูกหลานเหล่านั้นเป็นลูกหลานเศรษฐี ถึงได้ใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย เพราะไม่ได้หาเงินเองไม่รู้ค่าของเงิน แต่ตัวเศรษฐีนั้น จะใช้จ่ายก็นึกถึงค่าของเงินเสมอ
ดังนั้น คนที่ใช้จ่ายเงินโดยไม่นึกถึงค่าของเงินนั้น ยากที่จะสร้างเนื้อสร้างตัวร่ำรวยได้ และถ้าหากโชคดีได้รับมรดกตกทอด เขาเหล่านั้นก็มีแต่จะจนลง ((จริงที่สุดใช่ไมค่ะ))
คนที่มีแววเศรษฐีนั้น นอกจากรู้คุณค่าของเงิน ใช้จ่ายอย่างระมัดระวังแล้ว เขายังรู้วิธีที่ทำให้งอกเงย ด้วยการลงทุนที่ฉลาด จึงทำให้คนเหล่านี้เป็นเศรษฐีโดยเร็ว
บทที่ 12 เป็นคนดวงดี!!
(*0*) แค่ขึ้นหัวข้อก็ทำให้ Sailorty รู้สึกอิจฉาแล้วค่ะ”
เพื่อนๆคนไหนมีความเชื่อว่าชีวิตคนเรานั้น ดำเนินไปตาม “บท” หรือ “สคริปต์” ที่ถูกกำหนดมาแต่ชาติปางก่อน ในชาตินี้ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากทำดีเข้าไว้ “สคริปต์” ของชาติหน้าจะได้ดีขึ้น อาจจะได้เกิดดีกว่าชาตินี้ ถ้าใครเชื่อตามหลักข้างต้นนี้อย่างเคร่งครัด Sailorty ขอแนะนำอีกครั้งว่าควรจะหยุดอ่านบทความเรื่องนี้ได้แล้ว เพราะจะทำให้เสียเวลาเปล่า (-0-“)
แม้คนเราจะเกิดมามีแผนที่ชีวิตติดตัวมา แต่ Sailorty ก็อยากจะบอกว่า.. มันไม่ถึงกับเป็นสคริปต์ตายตัวหรอกค่ะ การปฏิบัติในชาตินี้ ยังคงสามารถเปลี่ยนแปลงแผนที่ชีวิตได้พอสมควร ^^*
สำหรับ Sailorty ขอยอมรับว่ามีความเชื่อในเรื่องแผนที่ชีวิตหรือ “ดวง” คือ เชื่อว่าเราสามารถลิขิตชีวิตตัวเองได้ แม้ไม่ทั้งหมด 100% แต่ Sailorty เชื่อว่าแผนที่ชีวิตที่ติดตัวคนแต่ละรูปนามมานั้น ก็เสมือนแผนที่ทางภูมิศาสตร์ของประเทศใดประเทศหนึ่ง ซึ่งมีทั้งแม่น้ำและขุนเขา ถ้าปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติไม่พัฒนา สภาพภูมิศาสตร์ก็คงสภาพเดิม แต่ถ้าได้มีการพัฒนาปรับปรุง เช่นได้มีการทำเขื่อนตามลำน้ำสำคัญ ก็จะสามารถกักเก็บน้ำใช้ประโยชน์ได้สารพัด รวมทั้งการให้พลังงานไฟฟ้า และแน่นอนเหตุการณ์ทุกอย่างในโลกนี้ แขวนอยู่บนกฎแห่งความคงที่ คือในเรื่องเดียวกัน ก็มีทั้งการให้คุณและให้โทษ แต่ผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตสูงๆ นั้นสามารถควบคุมในสิ่งที่ตนกระทำให้ก่อผลประโยชน์มากกว่าให้โทษ และนี่คือสูตรลับอีกหนึ่งข้อของบรรดาเศรษฐีทั้งหลาย ที่ดูภายนอกเสมือนทำให้เกิดมาเป็นคนดวงดีตั้งแต่เกิด ซึ่งความจริงนั้นเป็นเพราะการกระทำของเขาในชาตินี้ ที่มีส่วนทำให้ชีวิตเขาประสบความสำเร็จ ดูประหนึ่งว่าเป็นคนดวงดี
*------------------------------------------ จบ --------------------------------------------------*
Sailorty อยากให้เพื่อนๆทุกท่านลองทำการสำรวจคุณสมบัติพิเศษของท่านดูนะค่ะ ว่าสิ่งใดมีดีอยู่แล้ว สิ่งใดควรมีการปรับปรุง โดยมีแนวทางปรับปรุงอย่างไร เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จต่อไป (^0^*)
ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี่ ที่บทความในตอน “สูตรลับเศรษฐี” มีเนื้อหาใจความที่ยาวไปนิดนึง ((รึว่ายาวมากดีล่ะเนี่ย)) แต่ถึงอย่างไร “Sailorty” ก็หวังว่าเพื่อนคงจะให้อภัยนะค่ะ เนื่องจากได้พยายามอย่างสุดความสามารถในการถ่ายทอดออกมาให้แก่เพื่อนๆที่รักทุกคน ถึงจะต้องใช้ความอดทนในการอ่านสักหน่อย แต่ก็คากว่าเพื่อนๆที่อ่านตั้งแต่ต้นจนจบ จะได้รับประโยชน์พอควร และที่สำคัญที่สุดเพื่อนๆอย่าลืมนำไปประยุกต์ใช้กับตนเองด้วยนะค่ะ
วันนี้ Sailorty ก็ขอลาไปทำการฝึกงานต่อ ((หลังจากที่อู้มาเป็นเวลานานพอสมควร)) ^^*
--- ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีสำหรับ Sailorty และ เพื่อนๆ ทุกคน “บ๊ะบายค๊ะ” ---
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น