วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554

เคล็ดลับที่โรงเรียนไม่มีสอน ..ตอน สุขภาพการเงิน

   หลังจากห่างหายในการเขียนครั้งแรก เนื่องจากตารางสอบมหาโหดดด -0- ((ข้อสอบจะยากไปไหนค่ะ??
ก่อนอื่นต้องขอ "ขอบคุณ" ทุกท่านที่เข้ามาอ่าน Sailorty Blog ^^* ขอสารภาพตามตรงว่า ไม่คิดว่าจะมีใครกล้าเข้ามาอ่าน ฮ่าๆๆ งั้นวันนี้เราก็มาเริ่มเนื้อหาเกี่ยวกับการเงินเบื้องต้นกันเลยนะค่ะ









โรคทรัพย์จาง อันตรายกว่าที่คุณคิด
   ใช่คุณรึเปล่า ที่ได้แต่ใช้ชีวิตเพลินๆ ไปวันๆ ไม่ค่อยใส่ใจเรื่องสุขภาพการเงินเท่าที่ควร??
เนื่องจากรู้สึกว่า สภาพคล่องยังไม่ถึงกับติดขัด ยังมีเงินผ่อนมือถือ ผ่อนสินค้าต่างๆเป็นปกติ มีกินมีใช้แบบเดือนชนเดือน แต่ในบางครั้งอาจเริ่มชักหน้าไม่ถึงหลัง!!
   
    Sailorty ขอบอกว่านี่เป็นสัญญาณอันตราย ที่กำลังฟ้องว่า "สุขภาพทางการเงินของคุณกำลังย่ำแย่"
ยิ่งถ้าคุณยังอยู่ในวัยนักเรียน-นักศึกษาแล้วล่ะก็ สมควรฟังทางนี้อย่างยิ่ง  จะได้รับมือได้อย่างทันท่วงที
มาเริ่มต้นด้วยการตรวจเช็คอาการทางการเงินของคุณและรักษาอาการไปพร้อมๆกันนะค่ะทุกคน ^^*
 
1.อาการปลอดเงินออม
 
   ลักษณะอาการ: ไม่เคยมีเงินเหลือเก็บในบัญชี หรือแม้กระทั้งกระปุกออมสิน
 
   สาเหตุเบื้องต้น: คุณประเภทมีเท่าไหร่ใช้เกลี้ยง ทุกสิ้นเดือนจบลงด้วยความว่างเปล่า ไม่มีเงินเหลือ
พอที่จะเก็บเอาไว้ให้อุ่นใจ ซึ่งโดยทั่วไปคุณอาจจะมองว่า การไม่มีเงินเก็บไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย
มีกินมีใช้ให้ครบเดือนก็บุญโขแล้ว ถ้ามีเอาไว้จับจ่ายใช้สอยไม่ครบเดือนสิ นั่นแหละถึงน่าเป็นห่วง!!
  
  Sailorty ขอบอกให้คุณรู้ไว้เถอะว่า การเป็นผู้ปลอดเงินออมคือ อาการเบื้องต้นของผู้ที่มีสุภาพ
ทางการเงินอันย่ำแย่ และอาจจะนำไปสู่โรคร้ายทางการเงินในที่สุด หุหุ แล้วจะหากว่าไม่เตือนไม่ได้นะค่ะ
 
  วีธีการรักษา: เพียงวันนี้คุณลองเปลี่ยนความคิด มองมุมการใช้เงินใหม่ ตามคำแนะนำต่อไปนี้
จะมีผลทำให้สุขภาพทางการเงินของคุณแข็งแรง อนาคตสดใส ไม่เชื่อก็ลองทำตามดูนะค่ะ
เพียงแค่คุณเลือกออมก่อนนำเงินไปใช้ โดยการหักเงินที่ได้รับหรือเงินเดือนทันทีจำนวน 10% ไปใส่
ในบัญชี  ขอย่ำว่าทันที!! เนื่องจากหากคุณหักที่หลัง จากทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนคือ อาการเสียดายเงิน
ดังนั้น คุณควรออมทันที!! ก่อนที่คุณจะนำเงินไปจับจ่ายใช้สอย
 
2. อาการตามใจอยาก
 
   ลักษณะอาการ: ไม่สามารถแยกระหว่าง "ความจำเป็น" กับ "ความอยาก"
 
   สาเหตุเบื้องต้น: คุณเป็นประเภทซื้อแหลก ยิ่งลด แลก แจก แถม ตามเทรนด์ตามกระแส คุณซื้อหมด!!
แค่คิดก็ปวดหัวแล้วค่ะ ยิ่งบ้างคนอาการหนักเข้าไปอีก คิดว่าการได้ซื้อสินค้าต่างๆมากมายตามใจตน
"จะช่วยให้คุณรู้สึกดี และมีความสุข" แต่ในความเป็นจริงแล้ว ของบอกว่า ..ไม่ใช่เลย!!
เพราะในบางครั้ง คุณไม่ได้ต้องการอยากได้ ของสิ่งนั้นจริงๆ ด้วยซ้ำ


  วิธีการรักษา: ก่อนตัดสินใจซื้อสินค้าชิ้นหนึ่ง ควรหยุดคิดและชั่งใจว่า สินค้าชิ้นนั้นเป็นของจำเป็น
หรือแค่อยากได้ เมื่อซื้อแล้วจะคุ้มค่าหรือไม่ จะได้เปล่าหรือเปล่า พูดง่ายๆคือ มีสติการซื้อ

  Sailorty ชอบเห็นเด็กๆสมัยนี้ ชอบซื้อของมากมายมาเก็บ ((หมายความว่า ซื้อมาแล้วก็ไม่ได้ใช้งาน))
หรือแม้กระทั้งซื้อของตามกระแส คราวนี้ภาระก็จะมาตกที่ผู้ปกครอง - -" การที่เรายังไม่สามารถหาเงิน
เพื่อนำมาจับจ่ายใช้สอยนั้น ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงสำหรับเด็กๆ แต่ปัญหารมันอยู่ที่ เด็กๆสมัยนี้ไม่ค่อยรู้จัก
คุณค่าของเงิน คิดเพียงว่า หมดแล้วก็ขอใหม่ได้ ซึ่งเป็นการปลูกฝังค่านิยมที่ผิดให้แก่เด็ก
โดยทั่วไปแล้ว น้อยมากๆที่จะมีการสอนวิธีการบริหารเงินและคุณค่าของเงินให้แก่เด็กๆ อาจจะถือว่า
เป็นการละเลยความสำคัญในเรื่องนี้เลยก็ว่าได้ Sailorty จึงอยากจะฝากให้ทุกท่าน คิดก่อนซื้อทุกครั้ง

3. อาการติดหรูตามกระแส

    ลักษณะอาการ: ชอบของแพง ของหรู สินค้าแบร์นเนม *0*

    สาเหตุเบื้องต้น: รู้สึกดี รู้สึกเป็ไฮโซ - -" ซึ่งบางครั้งอาจจะเป็นการกระทำที่เกินกำลังของตนเอง
กล่าวคือ เป็นการบริโภคสินค้าเกินกว่ารายได้ของตนเอง ยกตัวอย่างเช่น ใช้กระเป๋าแบร์นเนม
ทานอาหารร้านดัง แต่รายได้ยังไม่เท่าไหร่ ก่อให้เกิดภาระหนี้สินตามมาจากการใช้บัตรเครดิต
เท่านั้นยังไม่พอ ดันเลือกผ่อนชำระตามยอดหนี้ขั้นต่ำ ไม่อยากจะคิดว่ามันจะนำไปโรคทรัพย์จาง
ขั้นรุนแรงแค่ไหน Sailorty ไม่ได้ว่าของแบร์นเนมไม่ดีนะ เพราะตนเองก็ใช่ เนื่องจากคุณภาพดีและ
อายุการใช้งานที่สูงกว่าสินค้าทั่วไป แต่ก็จำเป็นต้องคำนึงถึงประโยชน์ที่ได้รับด้วย หรือการทานอาหาร
หรูตามร้านชื่อดังไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่นานๆครั้งไปทานคงจะดีกว่า แล้วหันมาเลือกทานอาหารให้ครบ
5 หมู่ ที่ราคาต่ำกว่า อาจให้ประโยชน์แก่ร่างกายสูงกว่าอาหารแพงๆด้วยซ้ำ

   วิธีรักษาการ: ของแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
ประเภทแรกคือ อาหาร และเครื่องดื่ม
   คุณใช่รึเปล่าที่เลือกทานอาหารฟาสต์ฟู๊ดในช่วงวันหยุด หรืออาหารหรู ทานไม่กี่คำก็หมดจาน
แล้วคุณเสียค่าอาหารและเครื่องดืมเหล่านี้ไปจำนวนเท่าไรต่อเดือน? คุณลองจดบันทึกการใช่จ่ายดูสิ
คุณจะพบว่า มันเป็นจำนวนที่สูงมากกกก แล้วถ้าคุณลดจำนวนครั้งที่ไปทานต่อเดือนละ? อาจจะแค่
ลดลงจากปกติทานเดือนละ 4 - 12 ครั้ง เป็น ทานเดือนละ 3 - 6 ครั้ง คราวนี้คุณจะเห็นได้ชัดว่า
การลดจำนวนการทานอาหารเหล่านี้ จะทำให้คุณมีเงินเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก  
ถ้ายังไม่เชื่อจงดูตัวอย่างต่อไปนี้
  - ทาน KFC & MC & shabushi เฉลี่ยเดือนละ 8 ครั้ง เป็น 300 x 8 = 2,400 บาทต่อเดือน
ถ้าคุณลดจำนวนครั้งที่ทานเป็น เดือนละ 4 ครั้ง คุณจะมีเงินเพิ่มขึ้น 1,200 บาทต่อเดือน
 
 - ดืมกาแฟลาเต้ 1 แก้ว พร้อมกับขนมเค้ก  ทุกวัน เฉลี่ยเป็นเงินเท่ากับ 120 x 30 = 3600 บาทต่อเดือน
ถ้าคุณเปลี่ยนเป็นชงกาแฟดื่มเองที่บ้าน พร้อมกับขนมปังทั่วไป จะเฉลี่ยเป็นเงิน 30 x 30 = 900 บาท
ต่อเดือน ทำให้คุณมีเงินเพิ่มขึ้นอีก 2,700 บาทต่อเดือน
 
ประเภทที่สองคือ เครื่องแต่งกาย
   สำรวจรอบๆตัวคุณดูสิว่า คุณมีกระเป๋ากี่ใบ นาฬิการกี่เรือน รองเท้ากี่คู่ เสื้อผ้ากี่ตู้? แล้วคุณใช้ทั้งหมดเลยรึไม่ ถ้าตอบว่าไม่ ขอแนะทฤษีของใช้ 100 ชิ้น ^^*
โดยคุณจะต้องมีของใช้เหล่านี้ทั้งหมดรวมกันไม่เกิน 100 ชิ้น อากจะเป็น นาฬิกา 2 เรือน กระเป๋า 3 ใบ
 รองเท้า 4 คู่ เสื้อผ้า เครื่องสำอาง สร้อย แหวน กำไร รวมกันไม่เกินนี้ แล้วคุณจะพบว่า คุณสามารถ
ประหยัดค่าใช้จ่ายได้เป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งยังใช้ของเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดอีกด้วย
 
 ประเภทสุดท้ายคือ ใช้ให้น้อยกว่าที่หาได้
    จงรู้จักใช้เงินอย่างฉลาด สร้างโอกาสเพิ่มเงินออม การใช้จ่ายเพื่อสนองความต้องการโดยไม่ยั้งคิด
 อาจก่อให้เกิดปัญหาทางการเงินตามมา แต่ถ้ายึดกฎเหล็ก 5 ประการ คุณจะใช้เงินได้อย่างคุ้มค่ามากขึ้น
   1. ตั้งงบก่อนใช้ การทำงบประมาณเปรียบเสมือนคุณ "คิดก่อนซื้อ"
   2. เปรียบเทียบก่อนซื้อ ก่อนซื้อจงถือคติ "ของดี ราคาเหมาะสม"
   3. สรุปการใช้สม่ำเสมอ ถึงจะเสียเวลา แต่คุ้มค่าสุดๆ เพราะจะเห็นพฤติกรรมการใช้จ่ายของคุณ
   4. ใช้น้อยกว่าหาได้ พึงระลึกไว้ว่าคุณควรใช้จ่ายให้น้อยกว่าเงินที่หาได้เสมอ
   5. ไม่ใช่ก็ไม่ซื้อ อันนี้ตรงตัว ซื้อเฉพาะที่จำเป็นต้องใช้
 
ถ้าคุณเริ่มมีอาการใดอาการหนึ่งเกิดขึ้นกับคุณ จงอย่านิ่งเฉย รีบลงมือเยียวยาอาการโรคทรัพย์จางซะ จะได้ไม่ต้องใช้คำว่า "โคม่า"
 
  จากที่อธิบายวิธีรักษาอาการมาทั้งหมด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การลองปฎิบัติตาม อาจจะเป็นการยากสักหน่อย
ในการที่จะห้ามใจ ไม่ให้ตามแนวคิดแบบเดิมๆ แต่เมื่อคุณลงปฎิบัติตามแล้ว คุณจะพบว่า เงินในกระเป๋าของคุณเพิ่มขึ้น ไม่ใช่มีกินมีใช้แบบเดือนชนเดือนเหมือนที่ผ่านมา ^^*
 
**********************************************************************************
 
คราวหน้าเราจะมาอธิบาย "วิธีการทำเงินออมให้งอกเงย" กัน อย่าลืมติดตามนะค่ะ!!
อาจจะเขียนยาว เขียนผิดไปหน่อย ต้องขออภัยด้วยนะค่ะ ก็มือใหม่หัดเขียนหนิเนอะ :')
 
**********************************************************************************
อ้างอิง
กาญจนา หงษ์ทอง เรื่อง 10 สัญญาณอันตราย ฟ้องสภาพการเงินส่อเค้าย่ำแย่
แผ่นผับ 4 รู้ สู่ความมั่งคั่งของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (TSI)
 

วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

ทำความรู้จักกับ Sailorty

โฉมหน้าของ Sailorty



  ที่สุดก็ได้ฤกษ์งามยามดีในการเริ่มต้นเขียนบล็อก เพื่อแบ่งความรู้ ประสบการณ์ และความผิดพลาด

ในฐานะเป็นนักลงทุนฝึกหัด  งั้นไม่รอช้า "ขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการเลยนะค่ะ"



ชื่อ:   พรทิพย์ บุญช่วย หรือ:  ปาร์ตี้ ^^*
 




การศึกษา:
อนุบาล - ประถมศึกปีที่ 6: เป็นเด็กบ้านน๊อก บ้านนอก ที่ไม่รู้จักแม่กระทั้ง "หุ้น" คืออะไร - -"
แต่ยังแอบภูมิใจ เพราะเป็นระดับชั้นที่เรียนเก่งที่สุดในชีวิต (เนื่องจากทั้งห้องมีไม่ถึง 20 คน)

มัธยมต้น: ขยับเข้ามาเรียนในโรงเรียนตัวอำเภอ โชคช่วยทำให้สอบติดห้องคิง ฮ่าๆๆ
จากเด็กบ้านนอก สู่เด็กตัวอำเภอ มีการพัฒนาแล้ว เย้ๆๆ แต่ก็ยังไม่รู้จัก "หุ้น" อยู่ดี - -" ชีวิตเน้อชีวิต

มัธยมปลาย: อันนี้เรียกมหัศจรรย์อย่างยิ่ง สอบติดโรงเรียนวิทยาศาสตร์อันดับต้นๆของประเทศ เท่ป่ะล่ะ?
และก็นี่เป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้รู้จักกับ "หุ้น" และการลงทุนชนิดต่างๆ ไม่ใช่จากการสอนในโรงเรียนนะค่ะ
แต่เป็นเพราะการสังเกตุ และสอบถามจากคุณพ่อคุณพ่อของเพื่อนๆ ทำให้เกิดความสนใจในด้านนี้
อีกทั้งคุณพ่อตี้ยังสอนให้เรื่องเกี่ยวกับอสังหาริมทรัยพ์อีก คราวนี้รู้เลยว่าอยากเรียนต่อสายไหน หุหุ ^^

ปริญญาตรี: ปัจจุบันกำลังเศรษฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยลัยแห่งหนึ่ง ณ เชียงใหม่จ้าว o_O" 
แต่ปรากฎว่า "คิดผิด" เรียนมาจะจบแล้ว ยังไม่มีการสอนเกี่ยวกับการลงทุนเลย T^T* ยังดีที่สอนให้มีความรู้ด้านการวิจัย จนตอนนี้มีผลงานเกินสิบเล่มแล้วล่ะ

เมื่อทุกอย่างผิดแผนแล้วทำอย่างไรต่อไป?
"ไม่มีอะไรยากเกินความสามารถอยู่แล้ว" เป็นคนที่เชื่อในตนเองแบบนี้มาตลอดค่ะ
เรียกว่า เป็นคนที่มีความมั่นใจในตนเองสูงมากกกก *0* ดังนั้น จึงเริ่มต้นจากการซื้อหนังสือมาอ่าน
อ่าน แล้วก็อ่าน ดูคริปการสอนการลงทุนบ้าง เข้าอบรมบ้าง เท่าที่จะพอมีเวลาเหลือจากการเรียน
จากนั้นการนำมาแบ่งปันความรู้ให้แก่เพื่อนๆที่สนิท อันนี้ถือว่ามีความสุขมากที่มีคนฟังเราอธิบาย

สุดท้ายก็คือ การลงสนามจริง ทั้งกำไรบ้าง ขาดทุนบ้าง เล่นแบบพวกนักพนันก็เคยมาแล้วนะ
หรือเป็นแบบที่คิดว่าตนเองเป็น VI แต่ดันถือไว้ที่ยอดดอยก็มี ฮ่าๆๆ ประสบการณ์ในการอยู่ในสนาม
อาจมีแค่เพียง 2 ปี ซึ่งถือว่าน้อยมากๆๆ ในตอนนี้จึงอยู่ในช่วงพัฒนาศักยภาพของตน พร้อมทั้งอยากที่จะแบ่งปันให้ทุกท่าน หวังว่าคงจะเกิดประโยชน์ไม่มากก็น้อย  "ขอบคุณค่ะ"