วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เคล็ดลับที่โรงเรียนไม่สอน..ตอน "กระชากหน้ากาก ..เจ้ามือ”




(^____________________________________________^)*

สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ ..วันนี้ Sailorty มาพร้อมกับรอยยิ้มสำหรับเพื่อนๆทุกท่านเช่นเคย ^^*
ก่อนอื่นต้องขอกล่าวคำ ขออภัยอย่างอย่างยิ่ง ที่ห่างหายจากการอัพเดทเคล็ดลับที่โรงเรียนไม่สอน
เนื่องจาก ณ ปัจจุบัน Sailorty ได้เป็นมาร์แล้วค่ะ ((ดีใจมาก)) เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า กลต.ได้กำหนดกฎข้อบังมากมายจนจำไม่ได้ ฮ่าๆๆ แต่ที่แน่ๆ คือ มีข้อที่เกี่ยวกับการวิเคราะห์หลักทรัพย์ ทำให้ Sailorty กล้าๆ กลัวๆ ในการเขียนข้อความ (T^T*) ว่าแต่เพื่อนๆจะลืม Sailorty กันไปรึยังนะ??
แล้ววันนี้ Sailorty ยังมาพร้อมกับรอยยิ้ม  และสาระดีดีเกี่ยวกับการลงทุนใน Stock เบื้องต้นในหัวข้อว่า.. เคล็ดลับที่โรงเรียนไม่สอน..ตอน "กระชากหน้ากาก ..เจ้ามือโดยที่เนื้อหาทั้งหมดมาจากการคัดลอกทั้งสิ้น ฮ่าๆๆ ซึ่ง Sailorty คิดว่าน่าจะมีประโยชน์อย่างยิ่งในช่วงตลาดขาลงแบบนี้ ^^*



เคล็ดลับที่โรงเรียนไม่สอน..ตอน "กระชากหน้ากาก ..เจ้ามือ
ในตลาดหุ้น มี 5 พฤติกรรมปั่น หลอกแมงเม่าเข้าปิ้ง เผยวิธีดู Bid-Offer ที่จะได้รู้ทัน เจ้ามือเอกยุทธเตือนรายย่อยเล่นหุ้น อย่าโลภ-อย่าเป็นเสือหวน

นายเอกยุทธ อัญชันบุตร ประธานบริหารเครือโอเรียนเต็ล มาร์ท กรุ๊ป ประเทศอังกฤษ เปิดเผยว่า อยากแนะนำวิธีในการพิจารณาดู Bid-Offer (ฝั่งซ้าย-ฝั่งขวา) ให้กับนักลงทุนรายย่อยว่า จะมองอย่างไรถึงจะรู้ว่า ราคาหุ้นจะวิ่งขึ้น-วิ่งลง ซึ่งข้อมูลทั้งหมด ขอยืนยันว่า ..ไม่ใช่สูตรสำเร็จตายตัว แต่เป็นเพียงมุมมองหนึ่งที่ศึกษาจากประสบการณ์ส่วนตัวที่คลุกคลีอยู่ในแวดวง ตลาดหุ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้เห็นภาพอะไรบางอย่างชัดเจนว่า ตลาดหุ้นแต่ละประเทศจะมีรูปแบบการเล่นที่ไม่เหมือนกัน

โดยเฉพาะกับตลาดหุ้นในเมืองไทย ที่ต้องยอมรับกันว่า ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายใต้การกำหนดเกมของ เจ้ามือเป็นหลัก จึงจะขอวิเคราะห์จากตลาดเมืองไทยเป็นหลัก และนี่ก็ไม่ใช่ตำราที่จะนำไปใช้อ้างอิงใดๆ เป็นเพียงมุมมองของคนที่อยู่ในแวดวงตลาดหุ้น ที่ไม่อยากให้นักลงทุนรายย่อยทั้งหลายต้องตกเป็น เหยื่ออันโอชะให้ เจ้ามือทั้งหลายกอบโกย...เฉพาะอย่างยิ่งกับ เจ้ามือที่อาศัยฐานอำนาจรัฐมาเป็นเกราะป้องกันให้ตัวเอง สร้างความร่ำรวยบนความทุกข์ระทมของคนอื่นนายเอกยุทธกล่าว

สำหรับ 5 หลักการคร่าวๆ ที่ขอแนะนำให้นักลงทุนรายย่อยได้พึงสังเกตพฤติกรรมและวิธีการเล่นของ เจ้ามือว่าเป็นอย่างไร เนื่องจากหุ้นแต่ละตัวนั้น จะมีปัจจัยพื้นฐานและความน่าสนใจที่แตกต่างกัน จึงต้องมีรูปแบบการเล่นที่ไม่เหมือนกัน ดังนี้...คือ

1.พฤติกรรมย่ำราคา โดยสังเกตได้จาก Bid ด้านซ้าย จะหนามากๆ และมีปริมาณการซื้อ-ขายที่มาก ในระดับราคาที่ยืนอยู่นิ่งๆ นานๆ โดยแนะนำให้สังเกตดูเป็นรายชั่วโมง เพราะจะสามารถแยกรูปแบบการเล่นนี้ ออกได้เป็น 2 ลักษณะคือ

1.1 ย่ำราคาเพื่อเรียกร้องความสนใจ...จะ เป็นการสร้าง Volume แบบหนามากๆ ตลอดเวลา โดยราคาไม่ได้พุ่งขึ้นตามไป ถือว่าเป็นการ โชว์ให้นักลงทุนได้เห็นว่า หุ้นตัวนั้นๆ มีแนวโน้มที่จะเล่นกันในระยะเวลาอันใกล้นี้ เปรียบได้กับเป็นอีกรูปแบบที่
เจ้ามือทยอยเก็บของ เพราะหาก เจ้ามือซัดช่องขวาเข้าไปเมื่อไหร่ ราคาจะวิ่งขึ้นทันที
1.2 ย่ำราคาเพื่อทุบลง...เป็นการสร้าง Volume แบบหนาๆ เพื่อหลอกล่อให้นักลงทุนเข้ามาเล่น จากนั้นหากได้จังหวะ ก็จะยก Bid ทิ้งออกไป เพื่อตบราคาให้ร่วงลงมา หากนักลงทุนรายใด ตกใจและ เทขายของออกมา ก็จะทำให้ เจ้ามือเก็บของ
ในราคาที่ถูกลงได้อีก

พฤติกรรมย่ำราคานี้ ให้สังเกตดีๆ ว่า จะมี Volume หนาแน่นมาก 2-3 ช่องในด้านซ้าย (Bid) ซึ่งไม่ใช่สัญญาณที่ดีนัก


2.พฤติกรรมสร้าง Volume มากๆ แบบผิดสังเกต โดยที่ราคาไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก อาจขึ้น-ลง แค่ 1-2 ช่อง...วิธีนี้ให้นักลงทุนรีบย้อนหลังกลับไปดู Volume การซื้อ-ขายอย่างต่ำ 1-2 เดือน เพราะหากดูประวัติย้อนหลังแล้วพบว่า Volume การซื้อ-ขาย
น้อยมาก หรือแทบจะไม่มีเลยนั้น แต่อยู่ๆ กลับมีขึ้นมาอย่างผิดสังเกต ถือว่า เจ้ามือกำลังสร้าง Volume เพื่อเตรียมทำราคา วิธีการนี้หากนักลงทุนรายใด มีหุ้นตัวนั้นๆ อยู่ในมือก็ให้ท่องจำอยู่ในใจว่อย่าขายเด็ดขาด เพราะมีโอกาสสูงมากที่จะทำราคากันขึ้นไป
เล่นในเร็ววัน

พฤติกรรมสร้าง Volume หนักๆ เช่นนี้ โดยราคายังนิ่งๆ ทั้งที่แต่เดิม Volume ของหุ้นนั้นแทบจะมีน้อยมาก หรือไม่มีเลย ทำให้นักลงทุนบางคนอาจตื่นตระหนก แล้วรีบเทขายออกมา เพราะเห็นว่า หุ้นที่ตัวเองถืออยู่นี้ ราคาไม่ได้วิ่งมานาน จึงกลัวจะต้องถือยาวกว่านี้
เมื่อเทขายหุ้นออกมา ก็เข้าทาง เจ้ามือที่วางกลอุบายเอาไว้แล้ว และสามารถเก็บของได้เพิ่มขึ้นอี

3.พฤติกรรมลากไปติดดอย มีวิธีสังเกตคือ ฝั่ง Offer จะหนามาก ในขณะที่ Bid จะเบาบาง และมีราคาวิ่งขึ้นตลอด ถือว่าเป็นยุทธวิธีที่ เจ้ามือวางกับดักล่อ โดยจะกินช่องขวา (Offer) ตลอด เมื่อมีคนแห่เข้ามาเล่นตามในช่องขวาเป็นจำนวนมาก ถึงจุดหนึ่ง
ที่ เจ้ามือจะออกของก็จะไล่ราคาร่วงลงมาได้ในทุกระดับ เพราะเจ้ามือสามารถออกของได้ทุกระดับราคาอยู่แล้ว โยนออกมาไม้ไหนก็มีแต่กำไร

พฤติกรรมนี้ ให้นักลงทุนสังเกตให้ดีๆ ว่า หากมีการไล่ราคาในช่องขวา (Offer) ขึ้นไปกันหลายช่องและวิ่งขึ้นตลอด อย่าเข้าไปซื้อเด็ดขาด เพราะถ้าเข้าไปก็มีสิทธิติดยอดดอยกันได้ วิธีที่ดีที่สุดคือ รอให้มีการทุบราคาลงมาจนเห็นสีแดงนานๆ ก็อาจเข้าไปซื้อได้ แต่ต้องดู
ประวัติย้อนหลังของหุ้นตัวนั้นๆ ด้วยว่า น่าเล่นหรือไม่


4.พฤติกรรมเจ้ามือใหญ่เล่นหุ้นปั่น ตลอด ให้สังเกตว่า Volume ทั้งด้านซ้าย (Bid) และด้านขวา (Offer) จะหนามากๆ และตลอดเวลา อีกทั้งราคาจะมีการวิ่งขึ้น-ลง วันละ 10-20 ช่องตลอด ซึ่งรูปแบบการเล่นเช่นนี้ ขึ้นกับนักลงทุนเองว่า จะมีความเร็วในการ
เข้า-ออกหรือไม่ เพราะราคาจะสวิงขึ้น-ลงตลอด แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องสังเกตเป็นพิเศษคือ หากราคาไปหยุดนิ่งอยู่ที่ระดับไหนนานๆ ให้ตระหนักไว้เลยว่า มีสิทธิที่จะลากขึ้นไปไกล หรือทุบลงมาอย่างแรงได้ทั้งสองทาง จึงขึ้นกับความไวของตัวนักลงทุนเอง

วิธีนี้ขึ้นกับตัวเจ้ามือแล้วว่า จะทำให้นักลงทุนติดยอดดอยกันในระดับราคาไหน เพราะเขาสามารถออกของได้ทุกระดับราคา จากนั้นเมื่อทุบร่วงลงมาก็จะเข้าไปช้อนซื้อเก็บไว้ จากนั้นก็จะนำกลับมาเล่นกันใหม่ หุ้นลักษณะนี้จะพบว่า มีการเล่นกันตลอดทั้งสัปดาห์ อาจมีหยุดบ้างก็
1-2 วัน แต่ Volume ก็ยังมีให้เห็นอยู่


5.พฤติกรรมเจ้ามือใหญ่เล่นหุ้นปั่นเป็นรอบ วิธีนี้จะเล่นกันสัปดาห์ละครั้ง หรือสองครั้ง จึงขอให้นักลงทุนต้องย้อนกลับไปดูประวัติย้อนหลังของหุ้นที่อยู่ในระดับต่ำ สุดที่นิ่งนานๆ บวกกับการดูราคาที่วิ่งขึ้นไปสูงสุดว่าอยู่ที่เท่าไหร่ แล้วนำมาหารครึ่ง เพื่อดูราคาว่า ระดับไหนถึงจะซื้อได้
ตัวอย่างเช่น หากหุ้นตัวนั้น เคยอยู่ที่ระดับต่ำนิ่งๆ ประมาณ 4 บาท แต่มีการทำราคาไล่ขึ้นไปแตะสูงสุดที่ 12 บาท ดังนั้น ราคาที่เหมาะสมที่น่าจะซื้อได้จึงอยู่ที่ระดับ 8 บาทต่อหุ้น (12-4 = 8)

พฤติกรรมการเล่นเป็นรอบนี้ นักลงทุนต้องพึงระวังว่า เจ้ามืออาจจะกลับมาเล่น หรือไม่เล่นเมื่อไหร่ก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นกับความน่าสนใจของหุ้นตัวๆ นั้นว่า เป็นที่สนใจของนักลงทุนหรือไม่

นายเอกยุทธ กล่าวต่อว่า วิธีการทั้งหมดนี้...อยากบอกว่า เป็นเรื่องที่นักลงทุนต้องใช้เวลาในการศึกษาและติดตามอย่างใกล้ชิด ตนไม่สามารถยกตัวอย่างหุ้นเป็นรายตัวออกมาให้เห็นได้ เพราะเกรงจะมีข้อกฎหมายตามมาภายหลัง แต่เชื่อว่า หากนักลงทุนที่เล่นหุ้นกันอยู่ในตลาดหุ้น
ไทย คงรับทราบดีว่า หุ้นตัวไหน เป็นหุ้นที่เข้าข่ายใด ใน 5 พฤติกรรมข้างต้น เพื่อที่จะได้รู้ว่า ตัวเราเองจะเล่นแบบไหน และจะสังเกตวิธีการที่เจ้ามือเล่นกันได้อย่างไร แต่ที่สำคัญคือ นักลงทุนต้องพึงระลึกว่า อย่าโลภถ้าอยากเล่นหุ้นปั่น หากได้กำไรแค่ไหน จงนึกเสมอว่า...
อย่าเป็น เสือหวนเด็ดขาด

เชื่อว่า หากนักลงทุนเข้าใจในหลักการนี้แล้ว ต่อไป...บรรดา เจ้ามือทั้งหลายก็คงต้องมีวิวัฒนาการใหม่ๆ ออกมา เพื่อไม่ให้ รายย่อยได้ตามทัน มิเช่นนั้น... เจ้ามือเองก็คงไม่สามารถ ล่อแมงเม่าให้เข้ามาในกองไฟได้อีก







ขอบคุณข้อมูลดีดีจาก คอลัมน์..เอกยุทธอินไซเดอร์
โดย..คุณเอกยุทธ อัญชันบุตร
ที่มา: ข่าวจากทีมงาน ThaiInsider.Com
"อย่ากลัวที่จะก้าวไปช้าๆ จงกลัวที่จะอยู่นิ่งเฉย"
Do not be afraid of going slowly, be afraid only of standing still. ภาษิตจีน


*……………………………………………………………………………………………………….*
*……………….ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีสำหรับ Sailorty และเพื่อนๆทุกท่าน……………….*



วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2555

เคล็ดลับที่โรงเรียนไม่สอน..ตอน "เทคนิค POINT & FIGURE TECHNIQUE"

(^____________________________________________________________________^)*

สวัสดีค่ะ  เพื่อนๆ!! วันนี้ Sailorty จะขอนำเสนอเทคนิคพ้อยท์แอนด์ฟิคเกอร์ ซึ่งขอบอกตามตรงเลยนะว่า.. พึ่งจะอ่านมาไม่นานนี้เอง -*- และยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก แต่ด้วยความไม่ค่อยเข้าใจนี่แหละ ยิ่งต้องรีบนำมาแบ่งปันเพื่อนๆ จะได้ร่วมทำความเข้าใจพร้อมๆกัน ^^* ฮ่าๆๆ และเพื่อไม่เป็นการเสียเวลา เรามาเริ่มทำความเข้าพร้อมกันเลยดีกว่า ..เริ่มเลย


เทคนิคพ้อยท์แอนด์ฟิคเกอร์
POINT & FIGURE TECHNIQUE
            เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ที่นิยมใช้กันมากชนิดหนึ่ง ในการหาจังหวะเวลาในการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ โดยมีข้อดีในแง่ที่ว่าเข้าใจง่าย และมีสัญญาณชัดเจนในการบอกให้ซื้อหรือขาย ข้อมูลที่ใช้ต้องการเพียงระดับราคาหุ้นสูงสุด และต่ำสุดในแต่ละวันเท่านั้น (หรือระดับราคาสุดท้ายในแต่ละช่วงเวลา ในกรณี POINT & FIGURE แบบ INTRADAY)

วิธีการกำหนด  BOX SIZE
สำหรับทำแผนภูมิพ้อยท์แอนด์ฟิคเกอร์

            ตามแนวตั้งของตารางกราฟ จะแสดงการเปลี่ยนแปลงของระดับราคาหุ้นที่นำมาทำ โดยใช้อัตราส่วน 1 ช่อง (BOX) ต่อ 1 ช่วงราคาตามที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนดไว้ อาทิเช่น หุ้น ABC ระดับราคาอยู่ประมาณ 150 บาท ตลาดหลักทรัพย์กำหนดให้ช่วงการเปลี่ยนแปลงของราคาช่วงละ 1 บาท ดังนั้น ในกระดาษกราฟ 1 ช่องจะเท่ากับ 1 บาทนั่นเอง และเมื่อหุ้น ABC มีราคาขึ้นไปเกิน 200 บาท ซึ่งตลาดหลักทรัพย์กำหนดให้ช่วงการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นเป็นช่วงละ 2 บาท ช่องถัดไปจากช่องที่ราคา 200 บาทขึ้นไปจะคิดเป็น 1 ช่องเท่ากับ 2 บาท

ตารางการเปลี่ยนแปลงช่วงราคา
            ราคาหุ้น (บาท)
ช่วงละ (บาท)
ตั้งแต่ 0 ถึงน้อยกว่า 2
0.01
ตั้งแต่ 2 ถึงน้อยกว่า 5
0.02
ตั้งแต่ 5 ถึงน้อยกว่า 10
0.05
ตั้งแต่ 10 ถึงน้อยกว่า 25
0.10
ตั้งแต่ 25 ถึงน้อยกว่า 50
0.25
ตั้งแต่ 50 ถึงน้อยกว่า 100
0.50
ตั้งแต่ 100 ถึงน้อยกว่า 200
1.00
ตั้งแต่ 200 ถึงน้อยกว่า 400
2.00
ตั้งแต่ 400 ขึ้นไป
4.00

หมายเหตุ  ดัชนีตลาดหลักทรัพย์สามารถเลือกใช้ BOX SIZE ตามตารางข้างต้น หรือ ใช้  BOX SIZE เท่ากับ 0.5-1.0% ของดัชนีตลาดหลักทรัพย์

วิธีการสร้างแผนภูมิ  POINT AND FIGURE แบบ DAILY

            1.  ในวันเริ่มทำแผนภูมิ ถ้าราคาปิดเป็นบวก จากราคาปิดครั้งก่อน ให้เขียนเครื่องหมาย X ตั้งแต่ราคาต่ำสุดของวันนั้นขึ้นไปจนถึงราคาสูงสุดของวันนั้น แต่ถ้าราคาปิดเป็นลบ ก็ให้เขียนเครื่องหมาย O ตั้งแต่ราคาสูงสุด ลงมาจนถึงราคาต่ำสุดของวันนั้น (ถ้าเป็นหุ้นใหม่เข้าตลาดในวันแรก ก็ให้ดูว่าราคาปิดสูงกว่าหรือต่ำกว่าราคาเปิด ถ้าสูงกว่าให้ถือว่าราคาปิดเป็นบวกแล้วเขียนเครื่องหมาย O)
           
            2.  ในวันต่อมา กรณีที่ในแผนภูมิเป็นแถวของ X อยู่ หากราคาสูงสุดยังคงสูงขึ้นกว่าเดิมก็ให้เขียนเครื่องหมาย X ต่อขึ้นไปจนถึงราคาสูงสุดของวันนั้น และในทางกลับกันกรณีที่ในแผนภูมิเป็นแถวของ O และราคาต่ำสุดของวันก็ยังต่ำกว่าครั้งก่อนให้เขียนเครื่องหมาย O ต่อลงมาจนถึงราคาต่ำสุดนั้น

            3.  กรณีที่ราคาหุ้นเริ่มมีการเปลี่ยนทิศทาง คือเมื่อเราอยู่ในแถวของเครื่องหมาย X ซึ่งวันต่อมาเราต้องดูที่ราคาสูงสุด แต่เมื่อปรากฎว่าราคาสูงสุดของวันใหม่ที่เรากำลังดูมีราคาเท่าเดิม หรือต่ำกว่าเดิมก็ให้ไปพิจารณาดูที่ราคาต่ำสุด ถ้าราคาต่ำสุดต่ำกว่าราคาสูงสุดเดิมที่ทำไว้ในกระดาษกราฟเมื่อครั้งก่อน ตามช่วงราคาที่กำหนดไว้ (REVERSAL) เช่น ตั้งแต่ 3 ช่วงราคาเป็นต้นไป ก็ให้เขียนเครื่องหมาย O ในแถวถัดมาด้านขวามือ โดยให้ O ตัวบนสุดอยู่ต่ำกว่า X ในแถวเดิม 1 ช่วง แล้วเขียน O ลงมาจนถึงราคาต่ำสุดในวันนั้น แต่ถ้าราคาต่ำสุดในวันนั้นต่างจากราคาสูงสุดเดิมน้อยกว่าช่วงราคาที่กำหนดไว้ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงในกราฟ

            ในทางกลับกัน ถ้าเดิมเราอยู่ในแถวของเครื่องหมาย O ซึ่งวันต่อมาเราต้องดูที่ราคาต่ำสุด แต่ปรากฏว่าราคาต่ำสุดใหม่ที่เราดูนั้นเท่าเดิมหรือสูงกว่าเดิม ก็ให้ไปพิจารณาดูราคาสูงสุด ซึ่งถ้าราคาสูงสุดต่างจากราคาต่ำสุดเดิมที่ทำไว้ในกระดาษกราฟเมื่อครั้งก่อนตามช่วงราคาที่กำหนดไว้ เช่น ตั้งแต่ 3 ช่วงราคาเป็นต้นไป ก็ให้เขียนเครื่องหมาย X ในแถวถัดมาทางขวามือ โดย X ตัวล่างสุดอยู่สูงกว่า O ในแถวเดิม 1 ช่องแล้วเขียน X ขึ้นไปจนถึงราคาสูงสุดในวันนั้น แต่ถ้าราคาสูงสุดในวันนั้นต่างจากราคาต่ำสุดเดิมน้อยกว่าช่วงราคาที่กำหนดไว้ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงในกราฟ

            ตัวอย่าง  สมมุติว่าเริ่มทำแผนภูมิในวันที่ 3 มิ.. โดยในวันนั้นมีราคาปิดเป็นบวกจากวันก่อน

            BOX SIZE                       =   1  บาท
REVERSAL         =   3  BOX SIZE

วัน/เดือน
ราคาสูงสุด
ราคาต่ำสุด
159











03/06
152
149
158











04/06
152
150
157






X




05/06
153
145
156






X




06/06
147
145
155






X




07/06
146
143
154






X




10/06
146
144
153
X





X




11/06
145
143
152
X
O




X




12/06
146
143
151
X
O




X




13/06
149
142
150
X
O




X




14/06
148
146
149
X
O


X

X




17/06
148
147
148

O


X
O
X




18/06
150
148
147

O


X
O
X




19/06
152
146
146

O
X

X
O





20/06
157
152
145

O
X
O
X









144

O
X
O
X









143

O

O










142












            ข้อสังเกต ถ้ากำลังอยู่ในแถวของ X ในวันต่อมาให้พิจารณาดูที่ราคาสูงสุดก่อน และถ้าอยู่ในแถวของ O ในวันต่อมาให้พิจารณาดูที่ราคาต่ำสุดก่อน

วิธีการสร้างแผนภูมิ  POINT AND  FIGURE
แบบ  INTRADAY

            การสร้างแผนกูมิลักษณะนี้ต่างจากแบบ DAILY ที่มีการนำราคาซื้อขายหุ้นทุกรายการ (TICK) มาใช้ในการสร้างแผนภูมิ แทนราคาสูงสุด หรือต่ำสุดของวัน และการเปลี่ยนทิศทางของราคาหุ้นไม่ได้ขึ้นกับ การเปรียบเทียบราคาสูงสุดและต่ำสุดที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงจากวันก่อนหน้า แต่ขึ้นกับราคาซื้อขายหุ้นที่เปลี่ยนแปลงจากขึ้นเป็นลงหรือลงเป็นขึ้น โดยอย่างน้อยเท่ากับค่า REVERSAL ที่กำหนด เช่น ถ้ากำหนดค่า REVERSAL เป็น 2 ในกรณีการเปลี่ยนแปลงราคาจากขึ้นเป็นลง จะไม่มีการเขียนเครื่องหมาย O จนกว่าราคาหุ้นจะลดลงจากราคา X สุดท้ายอย่างน้อยเท่ากับ 2

            1.  เมื่อเริ่มทำแผนภูมิ ให้กำหนดราคาเริ่มต้น ถ้าราคาต่อมาสูงกว่าราคาเริ่มต้นซึ่งเป็น X ให้เขียนเครื่องหมาย X ต่อขึ้นไปจากเดิมจนถึงราคานั้น และในทางกลับกัน ถ้าราคาเริ่มต้นเป็น O และราคาต่อมาต่ำกว่าราคาเริ่มต้น ให้เขียนเครื่องหมาย O ต่อลงมาจนถึงราคานั้น

            2.  กรณีที่ราคาหุ้นเริ่มเปลี่ยนทิศทาง คือ ในขณะที่อยู่ในแถว X ถ้าราคาต่อมาลดต่ำลงจนได้ผลต่างจากราคา X สุดท้ายอย่างน้อยเท่ากับค่า REVERSAL ให้เขียนเครื่องหมาย O ในแถวถัดมาด้านขวามือ โดยให้ O ตัวบนสุดอยู่ต่ำกว่า X ในแถวเดิม 1 ช่องแล้วเขียน O ต่อลงมาจนถึงราคาใหม่นั้น แต่ถ้าราคาใหม่ต่ำกว่าราคา X สุดท้ายน้อยกว่าค่า REVERSAL แล้ว จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงในกราฟ
           
            ในทางกลับกัน ถ้าเดิมราคาอยู่ในแถว O แต่ราคาต่อมาอยู่สูงกว่าราคา O สุดท้ายอย่างน้อยเท่ากับค่า REVERSAL ให้เขียนเครื่องหมาย X ในแถวถัดมาด้านขวามือ โดยให้ X ตัวล่างสุดอยู่สูงกว่า O ในแถวเดิม 1 ช่อง แล้วเขียน X ขึ้นไปจนถึงราคาใหม่นั้น แต่ถ้าราคาใหม่อยู่สูงกว่าราคา O สุดท้าย น้อยกว่าค่า REVERSAL จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงในกราฟ

วิธีการสร้างแผนภูมิ  เทคนิคพ้อยท์แอนด์ฟิคเกอร์

            ตัวอย่าง  3  POINTS REVERSAL

Price
Plot
35






29
Start
34






32
X
33


X



29
O
32
X

X
O


33
X
31
X
O
X
O
X

30
O
30
X
O
X
O
X
O
28
O
29
*
O

O
X
O
30
No Plot
28



O

O
31
X
27





O
29
No Plot
26






27
O
25







วิธีการอ่านแผนภูมิ  POINT & FIGURE

            มีหลักฐานในการอ่าน 3 ประการคือ

   1.  สัญญาณให้เข้าซื้อ เกิดขึ้นเมื่อ X ในแถวที่กำลังทำอยู่ สามารถไต่ขึ้นไปได้สูงกว่า X ในแถวที่ใกล้ที่สุด จุดที่เริ่มสูงกว่าคือจุดซื้อ

                                                                        X
                                                                        X          จุดซื้อ
                                                X                      X
                                                X          O          X
                                                X          O          X
                                                X          O

 

   2. สัญญาณในการขาย เกิดขึ้นเมื่อ O ในแถวที่กำลังทะอยู่ตกต่ำกว่า O ในแถวที่ใกล้ที่สุด จุดที่เริ่มต่ำกว่าคือจุดขาย

                                                O          X
                                                O          X          O
                                                O          X          O
                                                O                      O
                                                                        O          จุดขาย
                                                                        O

   3. สัญญาณให้เข้าซื้อ หรือขาย ซึ่งเกิดจากการเปรียบเทียบระดับสูงต่ำระหว่างแถวที่กำลังทำอยู่ กับแถวที่ไกลออกไป ดังเช่น X ในแถวที่ 5 กับ X ในแถวที่ 1 จะมีค่าความน่าเชื่อถือในการซื้อ น้อยกว่าการเปรียบเทียบระหว่างแถวที่กำลังทำอยู่กับแถวที่ใกล้กว่า เช่น X ในแถวที่ 5 กับ X ในแถวที่ 3

                                                                        X          น่าเชื่อถือในการซื้อ มาก
                                                X                      X
                                                X          O          X
                                                X          O          X
                                                X          O          X          น่าเชื่อถือในการซื้อ น้อย
                        X                      X          O          X
                        X          O          X          O          X
                        X          O                      O          X
                        X          O          O

            นอกจากการอ่านสัญญาณตามหลักพื้นฐานทั้ง 3 ประการแล้ว แผนภูมินี้ ถ้ามีจำนวนของข้อมูลย้อนหลังมาก ๆ เราสามารถนำรูปแบบการเคลื่อนไหวของอดีตมาเปรียบเทียบกับรูปแบบที่เกิดขึ้นใน ปัจจุบันแล้วคาดทำนายอนาคตได้

รูปแบบแผนภูมิที่ใช้ประกอบการวิเคราะห์

            การนำเอารูปแบบแผนภูมิต่าง ๆ เข้ามาช่วยประกอบในการวิเคราะห์เทคนิค POINT & FIGURE จะช่วยให้ได้สัญญาณที่ชัดเจนและถูกต้องแม่นยำมากขึ้น ตามความเชื่อพื้นฐานที่ว่า ประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอยเดิมรูปแบบต่าง ๆ ที่จะนำมาเสนอจะเป็นรูปแบบอย่างง่าย ๆ แต่มีความถูกต้องแม่นยำค่อนข้างสูง และจากรูปแบบต่าง ๆ เหล่านี้ถ้ามีการสะสมตัวเป็นเวลานานจะยิ่งมีความถูกต้องแม่นยำยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีกดังจะยกตัวอย่างต่อไปนี้

รูปแบบการทะลุผ่านสองยอด  (BREAK DOUBLE TOP) 
และการทะลุผ่านสองฐาน  (BREAK DOUBLE BOTTOM)

            รูปแบบการทะลุผ่านสองยอด  (BREAK DOUBLE TOP)  เป็นรูปแบบพื้นฐานในตลาดขาขึ้น  ดังตัวอย่างในภาพ โดยจุดสูงสุดจุดแรกของราคาอยู่ที่ 124 ต่อมาราคาตกต่ำลงมาถึง 119 บาท แล้ววิ่งกลับขึ้นไปที่ 124 บาทอีก จะเกิดเป็นรูป DOUBLE TOP ถ้าราคาสามารถทะลุผ่านระดับ 124 บาทขึ้นไปได้แสดงให้เห็นถึงสัญญาณซื้อ และยิ่งถ้ามียอดมากเท่าใดความแม่นยำก็จะมีมากขึ้นตาม

            รูปแบบการทะลุผ่านสองฐาน (BREAK DOUBLE BOTTOM) เป็นรูปแบบพื้นฐานในตลาดขาลง ตัวอย่างเช่น จุดต่ำสุดจุดแรกอยู่ที่ 121 ต่อมาราคากลับวิ่งขึ้นไปถึง 124 แล้วตกกลับลงมาที่ 121 อีกครั้งหากราคาทะลุผ่านระดับ 121 ลงไปได้ แสดงให้เห็นถึงสัญญาณขายและยิ่งถ้ามีฐานมากเท่าใดความแม่นยำก็มีมากขึ้นเท่านั้น



รูปแบบสามเหลี่ยมขาขึ้น  (BULLISH TRIANGLE)
กับสามเหลี่ยมขาลง  (BEARISH TRIANGLE)

            เมื่อมีการรวมตัวของราคาหุ้นเป็นรูปสามเหลี่ยม เราจะให้ความสำคัญค่อนข้างมากในการวิเคราะห์พฤติกรรมของราคาหุ้นนั้น ๆ

            รูปแบบสามเหลี่ยมขาขึ้น (BULLISH TRIANGLE)  การรวมตัวของราคาเป็นรูปแบบนี้จะต้องมีจุดต่ำสุดที่สูงขึ้นและจุดสูงสุดที่ต่ำลงดังรูป และเมื่อเราลากเส้นแนวโน้ม 45 องศาจากจุดสูงสุด กับจุดต่ำสุดจะปรากฏเป็นรูปสามเหลี่ยม และหากระดับราคาสามารถทะลุเส้นแนวโน้มขึ้นไปได้ดังรูป จะเป็นสัญญาณให้ซื้อ

            รูปแบบสามเหลี่ยมขาลง (BEARISH TRIANGLE) การรวมตัวของราคาเป็นรูปแบบนี้จะต้องมีจุดสูงสุดที่ต่ำลง และจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น และเมื่อเราลากเส้นแนวโน้ม 45 องศาจากจุดสูงสุดและจุดต่ำสุด จะปรากฏเป็นรูปสามเหลี่ยม และหากระดับราคาสามารถทะลุผ่านเส้นแนวโน้มลงมาจะเป็นสัญญาณให้ขาย



            นอกจากนี้ยังอาจมีการรวมตัวเป็นหลายรูปแบบในหุ้นตัวเดียวกันได้ แต่ลักษณะการวิเคราะห์จะเหมือนกับรูปแบบต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นอีกทั้งหากเราสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับ PRICE PATTERN แบบต่าง ๆ จะยิ่งเป็นประโยชน์มากยิ่งขึ้น (มีกล่าวไว้ในเรื่อง PRICE PATTERN ของแผนภูมิแบบแท่ง)

การคาดคะเนเป้าหมาย

            การคาดคะเนเป้าหมายมีประโยชน์อย่างยิ่ง ในการที่จะหาว่าราคาจะสามารถวิ่งขึ้นไปได้ถึงไหน และลงไปได้ถึงเท่าไร ทำให้สามารถจับจังหวะในการซื้อและขายได้อย่างถูกต้อง

            การคาดคะเนเป้าหมายนิยมใช้กฎอยู่ 3 ข้อ ด้วยกัน คือ
1.  กฎ 20 X
2.  กฎ 50 %
3.  กฎการวัดการเคลื่อนที่  (Measure Move)

กฎ 20 X
            กล่าวคือกฎนี้นี้จะบอกว่าหากราคาสูงต่อเนื่องกันขึ้นมาตั้งแต่ 20 X ขึ้นไปแล้ว มักจะมีการปรับตัวลงของราคา



กฎ 50 %
            กฎ 50% (บางครั้งนิยมใช้กฎ 30% หรือ 1 ใน 3 มาหาแนวรับเบื้องต้นก่อน) กล่าวคือเมื่อราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปจนสูงสุด และเริ่มตกลง หากเราไม่สามารถหาแนวรับที่ชัดเจนได้เราอาจคาดคะเนได้ว่าราคาจะตกลงมาประมาณ 50% ของราคาที่ขึ้นไป



กฎวัดการเคลื่อนที่  (Measure Move)
            กล่าวคือหากราคาขึ้นไปถึงจุดสูงสุดแล้วตกลงมาถึงจุดต่ำสุดจุดหนึ่ง แล้วเริ่มตีกลับสูงขึ้นไปจนสูงกว่าจุดสูงสุดเดิม ราคาอาจสามารถไปต่อได้เท่ากับระยะทางที่วิ่งขึ้นมาในช่วงแรก



            หมายเหตุ : กฎทั้ง 3 ข้อนี้ สามารถนำไปคาดคะเนเป้าหมายในกรณีหุ้นขาลงได้ในทำนองเดียวกัน เช่น กฎ 20 O เปรียบได้กับ กฎ 20 X เป็นต้น


*………………………………..…….................................................………………………………………….*

*…………………………………………………………………………………………*


เป็นไงบ้างค่ะเพื่อนๆ พอจะเข้าใจกันรึเปล่าเอ่ย??
Sailorty หวังว่าเพื่อนๆที่ติดตามอ่าน คงจะได้ประโยชน์ไม่มากก็น้อยจาก..
เคล็ดลับที่โรงเรียนไม่สอน..ตอน "เทคนิค POINT & FIGURE TECHNIQUE" นะค่ะ ^^*

วันนี้ก็ขอลากันไปเพียงเท่านี้แล้วกันเนอะ!!
ขอให้ทุกๆวันเป็นวันที่ดีสำหรับ Sailorty และเพื่อนๆทุกท่าน




"อย่ากลัวที่จะก้าวไปช้าๆ จงกลัวที่จะอยู่นิ่งเฉย"
Do not be afraid of going slowly, be afraid only of standing still.